บทที่ 271 ตีไม่ได้ นั้นก็แค้น
จากนั้นเย้นหว่านก็หัวเราะ จำใจอยู่บ้าง
“ดูแล้วอารมณ์คุณไม่ได้ไม่ดีเป็นพิเศษ ยังคงพูดล้อเล่นได้อยู่”
ฉูรั่วไป๋ยังไม่ได้ทันลึกซึ้งกับสิ่งที่เตรียมการขึ้นมา แวบเดียวก็ถูกรอยยิ้มของเย้นหว่านทำลายลงแล้ว
คำพูดของเขาจริงจังขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าเธอไม่เชื่อ
เฮ้อ!
ฉูรั่วไป๋ส่ายหน้าด้วยความจำใจ “อีกแค่สองสามวัน การแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะจบแล้ว คุณจะกลับไปเมืองหนานด้วยกันกับพวกเขามั้ย?”
“อืมๆ”
เย้นหว่านพยักหน้า ขณะพูดอยู่ ในใจกลับไม่เหมือนปกติเท่าไร
ความจริงเธอเหมือนไม่ได้อยากกลับเมืองหนานขนาดนั้น เหมือนว่าเธอจะรีบร้อนหนีจากเมืองหนานมาที่เมืองเจียงก็เพื่อหลีกหนีเรื่องพวกนั้นที่เมืองหนานมา
หลังจากกลับไปครั้งนี้ กลัวว่าคงหลบไม่พ้นอีกแล้ว ต้องเผชิญหน้าทั้งหมด
ส่วนหลังจากกลับไป เธอควรยกเลิกงานหมั้นกับโห้หลีเฉิน ต่อไปก็แค่คนแปลกหน้ากัน จะไม่เกี่ยวพันอะไรอีก
พอคิดว่าเป็นแบบนี้ เธอยิ่งเหมือนเพิ่มการต่อต้าน
ได้ยินคำตอบแน่วแน่ของเย้นหว่าน สายตาของฉูรั่วไป๋ยิ่งมืดมิด
พูดขึ้นมา เขาควรเป็นคนนั้นที่ไม่อยากให้เย้นหว่านกลับเมืองหนานมากที่สุด แต่เธอมาเมืองเจียงก็เพียงแค่ทำงานแลกเปลี่ยน คงจะไม่อยู่ต่อที่เมืองเมืองเจียงตลอดไป
นอกเสียจากมีสาเหตุพิเศษอะไร
ในใจเย้นหว่านกลัดกลุ้ม เงยหน้ามองฉูรั่วไป๋ที่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร
นึกถึงตอนที่อยู่ด้วยกันช่วงเวลานี้ ฉูรั่วไป๋เห็นเธอเป็นเพื่อนไปแล้ว จะจากกัน เขาคงไม่ดีใจเอามากๆ เช่นกัน
“คุณฉู ถึงแม้ฉันจะกลับไปแล้ว ต่อไปมีโอกาสจะกลับมาเที่ยวที่เมืองเจียงอีกแน่ คุณสามารถมาเล่นที่เมืองหนานได้ เมืองหนานเป็นเมืองที่ไม่เลวเลย ของกินที่เที่ยวล้วนมีหมดทุกอย่างตามต้องการ ถึงตอนนั้นฉันจะเป็นเจ้าบ้าน เที่ยวเป็นเพื่อนคุณให้สนุกสุดๆ”
ฟังขึ้นมา เหมือนว่าไม่เลวดี
ฉูรั่วไป๋เม้มริมฝีปาก รอยยิ้มกลับเหือดหายลงมา เขามองเย้นหว่านจริงจังมาก
“เสี่ยวหว่าน คุณกลับเมืองหนานแล้ว จะแต่งงานกับโห้หลีเฉินรึเปล่า?”
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินข่าวมา เมืองหนานตระกูลโห้ เตรียมพิธีแต่งงานอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
คิดว่าครั้งนี้เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินกลับไป ถ้าไม่เกิดจากที่คาดการณ์ ไม่นานพิธีแต่งงานน่าจะเริ่มดำเนินการ พอดำเนินการ ก็……
เย้นหว่านตะลึงสักหน่อย ราวกับหัวใจโดนทิ่มแทง
แต่งงานเหรอ?
นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มาโดยตลอด
ฉูรั่วไป๋จ้องมองเย้นหว่าน มองเห็นท่าทางบนหน้าของเธอที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่มีความเบิกบานและเฝ้าคอยในฐานะว่าที่เจ้าสาวสักนิด
คนฉลาดอย่างฉูรั่วไป๋ ชั่วพริบตาเดียวก็เดาอะไรได้แล้ว
เขาพูดแบบลองเชิงอีกครั้ง “เสี่ยวหว่าน ถึงแม้ระหว่างพวกเราจะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ผมเห็นคุณเป็นเพื่อนจากใจจริง ถ้าคุณจะแต่งงานกับโห้หลีเฉิน บอกกับผม ผมจะได้เตรียมของขวัญแต่งงานที่สมบูรณ์ให้คุณล่วงหน้าด้วยตัวเอง”
ของขวัญที่เตรียมด้วยตนเอง ยังเป็นฉูรั่วไป๋ลงมือเอง นั่นไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน ไม่เพียงสูงค่า ยังต้องใช้ความคิดและเวลามากมายด้วย
แต่ว่าเย้นหว่านกลับจะไม่แต่งงานกับโห้หลีเฉิน สุดท้ายของขวัญก็เพียงแต่สิ้นเปลืองไป
ในฐานะเพื่อน อย่างไรเย้นหว่านก็ไม่อยากให้ฉูรั่วไป๋เสียเวลาทำเรื่องแบบนี้ไปเปล่าๆ
และยิ่งในฐานะเพื่อน เย้นหว่านไม่อยากหลอกฉูรั่วไป๋ ให้เขามาอวยพรเปล่า ยินดีเปล่า
พอลังเลอยู่สักพัก นิ้วมือของเย้นหว่านดึงมุมขอบเสื้อไว้ ควบคุมความรู้สึกในใจ พูดสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจมากออกมาด้วยความยืนหยัด
“ไม่ต้องลำบากหรอก ถึงแม้ฉันกับโห้หลีเฉินจะหมั้นกัน แต่ว่าแต่งงานเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์”
เย้นหว่านพูดอย่างอ้อมค้อม แต่ฉูรั่วไป๋เข้าใจความหมายของเธอมาก
คนที่หมั้นหมายกันแล้ว กลับบอกว่าจะไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังพูดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นั่นหมายความว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เย้นหว่านไม่ได้วางแผนจะแต่งงานกับโห้หลีเฉินจริงๆ
การหมั้นนี้ ที่แท้เป็นแบบที่เขาคิด มีการหลอกลวง
ความกดดันกังวลในใจของฉูรั่วไป๋ทั้งหมด ล้วนหายไปในพริบตา สิ่งที่เข้ามาปกคลุมแทนที่ก็คือความยินดี ฮึกเหิมเต็มหัวใจ
เย้นหว่านจะไม่แต่งงานกับโห้หลีเฉิน ยังมีโอกาสของเขา และยังเป็นคนที่เขาสามารถตามจีบได้
ในใจฉูรั่วไป๋เหมือนเติมน้ำผึ้งเข้ามา ดีใจเหมือนเด็กผู้หนุ่มที่พึ่งได้ความรักจากเด็กสาว นำแก้วกาแฟมากุมแน่นด้วยความตื่นเต้น
เขาจ้องมองเย้นหว่านอยู่ พูดด้วยเสียงกังวล “เสี่ยวหว่าน ความจริงผม……”
“รั่วไป๋!”
เสียงของผู้หญิงดึงขึ้นมาทันใด
เห็นเพียงอานฉีเอ๋อใส่รองเท้าส้นสูง รีบก้าวเดินเข้ามา บนหน้าที่สวยงามนั้นยิ่งเต็มด้วยเจตนาอันเป็นศัตรู ล้วนพุ่งเป้ามาที่เย้นหว่านทั้งนั้น
เย้นหว่านแปลกใจที่สุด คาดไม่ถึงจะเจอผู้หญิงที่เจอในห้างสรรพสินค้าวันนั้นอยู่ที่นี่อีกแล้ว อานฉีเอ๋อ
นี่ช่างบังเอิญเหลือเกิน บังเอิญจนอึดอัดอยู่หน่อย
ความจริงเธอไม่คิดจะเป็นก้างขวางคอแบบนี้เลย แต่ก็เจอกันเข้าสองครั้งอย่างน่าประหลาดใจ
เย้นหว่านอายนิดหน่อย พูดกับฉูรั่วไป๋ไปเสียงเบาๆ
“คุณฉู ถ้าไม่อย่างงั้นฉันไปก่อนนะ คุณตามสบาย”
ฉูรั่วไป๋ขมวดคิ้วแบบไม่พอใจ อานฉีเอ๋อคนนี้ทำเรื่องเลวจริงๆ ทำเอาอารมณ์ดีของเขาพังลงหมด
“ไม่ต้องสนใจหล่อน เดี๋ยวผมจะให้หล่อนไปแล้ว”
ฉูรั่วไป๋พูดพลางลุกขึ้นยืน พอร่างสูงใหญ่หัน ก็บังเย้นหว่านไว้ด้านหลังของตนเอง ทำให้อานฉีเอ๋อมองก็มองไม่เห็น
อานฉีเอ๋อมองเห็นการกระทำนี้ของฉูรั่วไป๋ ยิ่งเหมือนกับแมวที่พองขน แวบหนึ่งถูกยั่วโมโหแล้ว
“รั่วไป๋! ฉันรู้ทั้งหมดแล้ว ทำไมตอนนี้คุณถึงยังต้องปกป้องหล่อน ทำให้ฉันดูแบบนี้เหรอ?”
ใบหน้าหล่อของฉูรั่วไป๋ล้วนเย็นชืด ไม่มีความอดทนสักนิด
“ไสหัวออกไป”
เผชิญหน้ากับหน้าเย็นชาและเสียงด่าของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คำพูดประโยคหนึ่งยังไม่ยอมพูดกับหล่อนเพิ่ม
ท่าทางก้าวร้าวของอานฉีเอ๋อชั่วขณะนั้นเผยความลำบากใจออกมา ยื่นมือไปดึงชายแขนเสื้อของฉูรั่วไป๋อย่างออดอ้อน
เสียงนุ่มละมุนไม่เข้าท่า “รั่วไป๋ คุณอย่าทำแบบนี้ได้รึเปล่า? ฉันจริงใจกับคุณนะ ฉันอยากอยู่ด้วยกันกับคุณจริงๆ ทั้งหัวใจของฉัน ตรงไหนที่เทียบเย้นหว่านที่เหยียบเรือสองแคมไม่ได้กัน?”
เหยียบเรือสองแคม?
เย้นหว่านมึนงงอย่างมาก เธอเพียงแค่โชคไม่ดีมาเป็นก้างขวางคอ ทำไมถึงเปื้อนกลิ่นคาวเข้า กลายเป็นพวกเหยียบเรือสองแคมไปได้
สีหน้าของฉูรั่วไป๋ดูไม่ดียิ่งขึ้น กำลังอยากต่อจะว่า ทว่าอานฉีเอ๋อกลับพูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมา
“ฉันรู้หมดแล้ว เย้นหว่าน หล่อนเป็นคู่หมั้นของโห้หลีเฉิน ไม่มีทางเป็นไปได้กับคุณ หล่อนมีคู่หมั้นอยู่แล้ว กลับยังมัวพันกับคุณอีก เผชิญกับศัตรูหัวใจที่ไร้ยางอายแบบนี้ ฉันจะยอมปล่อยคุณไปได้ยังไง”
ความรังเกียจและการดูถูกที่อานฉีเอ๋อมีต่อเย้นหว่านไม่ปกปิดสักนิด เทียบกันกับเย้นหว่านแล้ว หล่อนรู้สึกว่าตนเองดีกว่ามากเหลือเกิน
เย้นหว่านหมั้นแล้วยังออกมาทำมั่วซั่ว แต่ทั้งหัวใจหล่อนแค่อยากอยู่ด้วยกันกับฉูรั่วไป๋
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอเทียบหน้าตา เทียบชาติตระกูล เทียบช่วงเวลาที่รู้จักกัน หล่อนล้วนได้เปรียบมากกว่าเย้นหว่านทั้งนั้น
คำพูดแต่ละประโยค ทำให้สีหน้าของฉูรั่วไป๋ดูแย่สุดๆ ในทรวงอกกลั้นไฟกองหนึ่งไว้ ยิ่งลุกยิ่งแรง
ด่าเย้นหว่าน ยังโกรธยิ่งกว่าด่าเขาเสียอีก
ถ้าไม่ใช่มีปณิธานไม่ตีผู้หญิงอยู่ เขาคงตบอานฉีเอ๋อคนนี้ลอยไปแล้ว
“ใครอนุญาตให้เธอมาว่าเย้นหว่านขนาดนี้? อานฉีเอ๋อ เธอคิดว่าตัวเธอเองเป็นอะไร มีสิทธิ์อะไรมาชี้แนะกับเย้นหว่าน? ถึงแม้ชาตินี้ฉันจะลงเอยกับเย้นหว่านไม่ได้ ก็จะไม่มองเธอเพิ่มขึ้นหรอกนะ”
เมื่อตีไม่ได้ ฉูรั่วไป๋แค้นอย่างไม่เก็บเอาไว้สักนิด คำพูดคมกริบไม่ไว้หน้าใดๆ เลย
อานฉีเอ๋อที่น่าสงสารเหลือทนนั้นเต็มไปด้วยความอารมณ์ลึกซึ้ง ชั่วขณะนั้นมีเพียงความอับอายที่หน้าแตกระแหง
โดนผู้ชายที่ตนเองรักเหยียดหยามขนาดนี้ แถมยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายอีก
อานฉีเอ๋ออยากปิดหน้าหนีไปอย่างยิ่ง แต่ความไม่พอใจโกรธแค้นภายในกลับยิ่งเพิ่มมากกว่าความอับอาย