บทที่ 306 ทำไมเธอถึงยังไม่ไป
ห้องคนไข้ของโห้หลีเฉินนั้น คนทั่วไปรวมถึงหมอต่างไม่สามารถเข้าออกได้ตามชอบใจ นี่คือใคร ถึงกล้าพุ่งเข้ามาแบบที่ไม่เคาะประตูขนาดนี้?
คนในห้องคนไข้รีบหันมองไปทางหน้าประตู
เห็นเพียงเย้นหว่านที่หายตัวไปสองวันหลังจากที่ผ่าตัดวันนั้น ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูห้องคนไข้
แก้มของเธอแดงระเรื่อ หายใจหอบ เหมือนวิ่งเข้ามาเลย
มีคนสงสัย “เย้นหว่าน? ทำไมเธอถึงมาเวลานี้?” พวกเขายังคิดว่าเย้นหว่านจะไม่มาอีกแล้วเสียอีก
“เธอมาเวลานี้ น่าคับแค้นใจจริงๆ โห้หลีเฉินยังไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อของเธอ ยิ่งไม่อยากเห็นตัวเธอด้วย”
“ต้องขวางเธอไว้รึเปล่า?”
ผู้คนลังเล ถกเถียงเสียงต่ำ เวลานี้บรรยากาศในห้องคนไข้ยิ่งเพิ่มความประหม่า
ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยนั้น ท่าทางเย็นชาของโห้หลีเฉินแข็งทื่อในชั่วพริบตาหนึ่ง หันหน้ามองไปก็เห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้า
ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เย้นหว่านหายใจหอบวิ่งมาถึงหน้าประตูห้องคนไข้ แวบแรกที่มองเห็นชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียงคนไข้
สีหน้าของเขาซีดขาวนิดหน่อย ท่าทางดูเหมือนซูบผอมอยู่บ้าง นั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะที่ป่วยอยู่ ทำให้ปลายหัวใจของเธอเจ็บขึ้นมา
เบ้าตาเธออุ่นๆ พอสมควร สูดๆ น้ำมูก ไม่ง่ายที่จะกลั้นน้ำตาที่อยากไหลลงมานั้นไว้ ค่อยๆ เดินไปทางเตียงคนไข้ทีละก้าว
จูเหลียนอีงมองเย้นหว่าน และมองโห้หลีเฉินอีกครั้ง ไม่ว่าโห้หลีเฉินจะปฏิเสธไม่ยอมเจอเย้นหว่านหรือไม่ ก็ถอยตำแหน่งข้างเตียงออกมาให้อย่างไม่ลังเล
หล่อนไม่มีวิธีทำอะไรกับโห้หลีเฉินได้เลยสักนิด บางทีเย้นหว่านอาจจะสามารถใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งกระตุ้นโห้หลีเฉินสักหน่อย?
เย้นหว่านจ้องมองโห้หลีเฉินอยู่ แต่ละก้าวนั้นราวกับเดินบนทางที่แสนไกล ผ่านมาหลายศตวรรษ ในที่สุดก็เดินมาถึงตรงหน้าของเขา
เสียงของเธอสะอื้นอยู่บ้าง “คุณ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
โห้หลีเฉินขยับหัวคิ้ว ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนมาเย็นชา ปฏิเสธคนออกห่างอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
น้ำเสียงเขายิ่งเย็นทื่อ “ยังไม่ตาย”
เย้นหว่านนั่งลงที่ข้างเตียง ระยะห่างกับเขาจึงใกล้เข้ามาหน่อย
น้ำเสียงเธอมีความหนักหน่วงอยู่บ้าง เหมือนยากลำบากมากกว่าจะพูดออกมาได้ “เจ็บตรงไหนแล้ว? ขอฉันดูหน่อยได้มั้ย?”
เธอเพียงรู้แต่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บหนักแค่ไหน
แต่ว่าอาการเจ็บที่เกือบเอาชีวิตเขานั้นคงไม่เบาเด็ดขาด เธออยากดูสักหน่อย อยากจำเอาไว้ว่าเพื่อเธอแล้วเขาได้รับความทรมานมากเท่าไร
สีหน้าของโห้หลีเฉินกลับเปลี่ยนไปดูแย่ยิ่งขึ้น
เขามองเธอไปตรงๆ สายตายิ่งเย็นเฉียบ ประกายความหมายที่เย้ยหยัน
“ฉันไม่ต้องการความจอมปลอมของเธอ ออกไป”
ออกคำสั่งไล่แขกไปทันที
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนั้นทำให้คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหนังศีรษะชา
เขาเกือบคิดได้ในจิตสำนึกแรก ดูเถอะ โห้หลีเฉินรำคาญเย้นหว่านจริงๆ แม้แต่เจอเธอก็ยังไม่อยากเจอ พอมาถึงก็ไล่เธอไป
แต่พวกเขากลับสังเกตเห็นปฏิกิริยาอย่างที่สองนั้น ถึงแม้โห้หลีเฉินจะมีท่าทางแย่มากต่อเย้นหว่าน แต่เมื่อเทียบกับความไม่สนใจต่อพวกเขา เหมือนว่าจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้แม้แต่จูเหลียนอีง โห้หลีเฉินยังไม่ได้สะบัดสายตาที่ดูจริงจังผ่านมาสักที
แต่พอเย้นหว่านมา โห้หลีเฉินล้วนมองแค่เย้นหว่านตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังถามมาตอบไป ถึงแม้ว่าเนื้อหาที่ตอบจะมีความคับแค้นใจอยู่นิดหน่อยแบบนั้น
ผู้คนต่างระลึกได้ถึงความแตกต่าง และต่างมีวิสัยทัศน์รู้ดีมาก จึงทำเป็นแจกันดอกไม้ประกอบฉาก ยืนอยู่แบบไม่พูดอะไรสักคำ
เย้นหว่านถูกโห้หลีเฉินต่อว่าด้วยความประหลาดใจ เธออยากดูบาดแผลของเขาหน่อย ทำไมถึงกลายมาเป็นจอมปลอมไปได้?
“ดูจากพลังการพูดจาของคุณเต็มที่ขนาดนี้ ดูแล้วอาการเจ็บคงดีขึ้นแล้ว”
เย้นหว่านไม่ได้ไม่พอใจใดๆ เพราะท่าทีของโห้หลีเฉิน คิ้วที่ขมวดอยู่แน่นนั้น กลับยังค่อยๆ คลายออกมาบ้าง
สายตาของเธอย้ายไปที่โจ๊กวางไว้ด้านข้าง ถือโอกาสยกขึ้นมาแล้ว
จากนั้นถามว่า “คุณกำลังกินข้าวเหรอ?”
เห็นการตอบสนองเป็นชุดของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินก็ตะลึงเล็กน้อย
วันนี้ผู้หญิงคนนี้กินยาอะไรผิดมาเหรอ?
เขาทำหน้าเย็นชาและกล่าวซ้ำอีกรอบ “ฉันบอกให้เธอออกไป ฉันไม่อยากเจอเธอ”
“ได้ อีกสักพักฉันจะไป”
เย้นหว่านตอบไปประโยคหนึ่งเหมือนขอไปที หยิบช้อนตักโจ๊กคำหนึ่ง เป่าๆ จากนั้นยื่นไปที่ริมฝีปากของโห้หลีเฉิน
“คุณไม่ต้องลำบากใจ ถึงแม้คุณจะไม่สามารถกินข้าวได้ด้วยตัวเอง ฉันก็จะไม่ดูถูกคุณเพราะเหตุนี้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันบาดเจ็บ คุณก็เคยดูแลฉัน ตอนนี้สลับให้ฉันป้อนข้าวคุณบ้างนะ”
“ฉันคิดว่าปกติมาก” คิดแล้วเย้นหว่านก็เสริมไปอีกประโยค
มุมปากโห้หลีเฉินหดนิดหน่อย กลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้คิดว่าที่เขาให้เธอไป เพียงเพราะเขารู้สึกลำบากใจ รู้สึกอับอายยามอยู่ต่อหน้าเธอ?
เธอเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน
“เย้นหว่าน ฉันกับเธอยกเลิกงานหมั้นกันไปแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ อีก”
ความหมายใต้ตำพูด การดูแลเขาไม่ต้องตกถึงเธอ
การกระทำของเย้นหว่านชะงักไป หัวใจราวกับถูกทิ่มแล้ว เจ็บอยู่นิดหน่อย
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ความคิดของโห้หลีเฉิน และไม่ยอมรับความรู้สึกของตนเอง ดันทุรังทำเรื่องที่ทำร้ายคนขนาดนั้น บีบให้โห้หลีเฉินยกเลิกการหมั้น
แต่ว่าตอนนี้วินาทีนั้นที่โห้หลีเฉินได้รับบาดเจ็บแทนเธออย่างไม่ห่วงชีวิต ทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนเปลี่ยนไปไม่สำคัญอีกเลย
ถึงแม้เธอจะไม่ได้สะอาดขนาดนั้น แต่เธอก็รักโห้หลีเฉินจริงๆ อย่างสุดจิตสุดใจ
ถึงแม้เธอจะไม่มีตระกูลที่ดีมากซึ่งสามารถคู่ควรกับเขาได้ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะตั้งใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว กลายเป็นนักออกแบบชื่อดังระดับโลก มีผลงานและตำแหน่งพอที่จะคู่ควรกับเขา
เธอจะก้าวเท้านั้นออกมา เธออยากเดินไปทางโห้หลีเฉิน อยู่ด้วยกันกับเขา
“นั่นแค่พูดแต่ปาก ไม่ใช่ว่าไม่ได้ประกาศกับข้างนอกเหรอ? ในนามตอนนี้ฉันยังถือว่าเป็นคู่หมั้นของคุณ”
เย้นหว่านพูดด้วยความมั่นใจสุดๆ อยู่ฝ่ายเดียว นำช้อนยื่นไปทางริมฝีปากของโห้หลีเฉินอีกครั้ง
เป็นครั้งแรกที่โห้หลีเฉินเห็นเย้นหว่านพยายามโยงความสัมพันธ์กับเขาขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอใช้สารพัดวิธีตีออกห่างเขา
ในใจโห้หลีเฉินหวั่นไหวนิดหน่อย แต่ว่านึกถึงสองวันนี้เย้นหว่านยังไม่โผล่ออกมาให้เห็นแม้แต่หน้า ในใจยิ่งหนาวเหน็บ
นึกถึงที่เธอมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ คงเป็นเพราะจูเหลียนอีงไปหาเธอล่ะมั้ง
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าชาตินี้เธอคงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะไม่ง่ายที่เธอดึงความสัมพันธ์กับเขาชัดเจน
“ฉันบอกว่าถอนหมั้นแล้วก็คือถอนหมั้น เธอไม่จำเป็นต้องมาดูแลฉันอีก เธอไปได้แล้ว”
“ได้ๆๆ คุณบอกว่าถอนหมั้นก็ถอนหมั้น”
เย้นหว่านคล้อยตามคำพูดของโห้หลีเฉินอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้เขาเป็นคนป่วย พูดอะไรล้วนถูกทั้งนั้น เธอไม่เถียงกับเขาแล้ว
ในใจโห้หลีเฉินเหมือนโดนกรีดด้วยมีด มุมปากโค้งเส้นรัศมีวงกลมที่เยาะเย้ยขึ้น
ที่แท้นี่ถึงเป็นความคิดจากใจจริงของเธอ
เขาย้ายสายตาออกแบบเย็นเฉียบ ไม่มองเธออีก รอสักครู่หนึ่งเธอคงออกไปเอง
เย้นหว่านมองไฟโกรธของโห้หลีเฉินเหมือนสงบลงมาแล้ว จึงนำช้อนยื่นไปทางริมฝีปากของเขา
“ตอนนี้กินข้าวได้แล้วสินะ? โจ๊กใกล้เย็นหมดแล้ว”
โห้หลีเฉิน “……”
เขามองเธอด้วยความแปลกใจ “ทำไมเธอถึงยังไม่ไปอีก?”