บทที่ 347 โอบกอดแล้วทำไม?
เย้นหว่านเกรงไปทั้งตัว
หลังจากผ่านไปสักพัก เธอถึงหันหน้ามาอย่างช้าๆ พอหันมาก็เห็นใบหน้าที่เคยปรากฏอยู่ในฝันของเธอนับครั้งไม่ถ้วน
โห้หลีเฉิน เขาจริงๆด้วย!
เวลาราวกับได้หยุดชะงักไว้ในเสี้ยววินาที เย้นหว่านเคืองตา ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอคิดถึงเขามากแค่ไหน คิดถึงอ้อมกอดเขามากแค่ไหน
โห้หลีเฉินมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด ความคิดซับซ้อน สายตาได้เคลื่อนย้ายมาที่ตุ๊กตาใหญ่ในอ้อมกอดเธอ แววตาได้เยือกเย็นลงมาทันที
ที่ไม่ไกล ผู้ชายที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นห้อมล้อมอยู่กำลังยิงปืนอยู่ เสียงที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นตะโกนออกมา ฟังออกไม่ยากว่าเขาอยากชนะตุ๊กตาอีกตัวนึง
นี่เป็นตุ๊กตาที่เย้นหว่านอยากได้เหรอ?
ที่แท้ เขาเพิ่งรู้ว่าเธอชอบของเล่นที่เป็นเด็กผู้หญิงแบบนี้
จู่ๆโห้หลีเฉินถึงรู้สึกว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจเธอเลย ส่วนเธอก็ไม่ต้องการ ความชอบและความสุขที่แท้จริงของเธอ ยอมแสดงออกอย่างจริงใจต่อหน้าผู้ชายอีกคนเท่านั้น
ในใจทรมานและโกรธ ไฟลุกจนเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิด อยากทำลายล้างทุกอย่างของตรงหน้า
สีหน้าของโห้หลีเฉินยิ่งอยู่ยิ่งแย่และอันตราย
เย้นหว่านอยู่ในอ้อมกอดเขา ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น ความเยือกเย็นนั้นทิ่มใส่เธอตรงๆ เหมือนกับว่าเธอทำให้เขาเกลียดปานนั้น
เธออยู่ในอ้อมกอดเขา ทำให้เขาสะอิดสะเอียนปานนั้น
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจพริบตาเดียวได้มีสีเทาปิดคลุมไว้ กลายเป็นเรื่องตลกอะไรปานนั้น
เย้นหว่านกัดฟันไว้ ออกมาจากอ้อมกอดของโห้หลีเฉินทันที แววตาเธอระยิบระยับ และแกล้งพูดอย่างสงบ
“ขอบคุณค่ะ”
เสียง คนสองคนที่ห่างเหิน
ก็เหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
สีหน้าของโห้หลีเฉินยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่
ดูเหมือนว่าเธอไม่เคยมีสีหน้าดีๆให้เขาเลย เมื่อก่อนก็ใช่ ตอนนี้ยิ่งใช่
โห้หลีเฉินดึงสายตากลับจากเย้นหว่านด้วยความเย็นชา เขามองหมู่คนที่เบียดเสียดกันนั้นอย่างเย็นชา น้ำเสียงเหน็บแนมไร้เยื่อใย
“เกมส์ที่ชั้นต่ำแบบนี้ ไม่ควรโผล่อยู่ที่สวนสนุก รื้อให้หมด”
กลุ่มผู้ดูแลที่อยู่ด้านหลัง “……”
เกมส์แบบนี้แทบจะถือว่าเป็นเกมส์ที่มีกันทุกสวนสนุก แถมยังคึกคักและชักนำขนาดนั้น ชั้นต่ำตรงไหน? ทำไมพวกเขารู้สึกเหมือนได้กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ที่เป็นตัวรับกระสุนเลย
“ได้ครับ คุณโห้”
แต่หัวหน้ามีความทุกข์ไม่กล้าบอก ความโหดเหี้ยมบนตัวคุณโห้มันแรงจริงๆ พวกเขาตกใจจนแค่กล้ารับปากอย่างเดียว
เย้นหว่านเอ๋อค้างไว้ ความหมายที่โห้หลีเฉินพุ่งเป้าหมายมายังเกมส์นี้ ไม่ต้องปิดบังเพิ่มเลยสักนิด
เขาที่ไม่เคยเห็นสิ่งของรอบตัวอยู่ในสายตา ยังจะแคร์ว่าเกมส์ชั้นต่ำเกมส์นึงเหรอ? นอกเสียจาก เพราะเธอ แม้แต่เกมส์ๆนี้ก็เกลียดเข้าไส้แล้ว
ตอนนี้เขาทนดูเธอไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
ในใจเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีก เย้นหว่านกอดตุ๊กตาไว้แน่น เล็บมือแทบจะจิกเข้าไปในตุ๊กตา ถึงควบคุมอารมณ์ที่แทบจะพังทลายของในใจไว้ได้
มองดูหน้าตาที่กอดตุ๊กตาไว้แน่นของเย้นหว่าน ไฟแห่งความโกรธของโห้หลีเฉินยิ่งลุกท่วมขึ้นไปอีก
เขาไม่เพียงอยากหยุดเกมส์ของที่นี่ ยิ่งอยากให้คนทำลายตุ๊กตาในอ้อมกอดเธอ!
แต่ว่า แล้วจะมีความหมายอะไร? เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขายังแคร์เธอมากงั้นเหรอ
หัวใจของเธอตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ได้อยู่ที่บนตัวเขา
ความโหดเหี้ยมรอบๆตัวยิ่งเพิ่มขึ้น ริมฝีปากบางของโห้หลีเฉินเม้มตรงเป็นเส้น เขาไม่มองเธออีก ก็หันหลังจากไปเลย
ราวกับว่า เธอเป็นแค่คนแปลกหน้าข้างถนนที่ไม่สำคัญ
ร่างเงาสูงใหญ่เดินผ่านตรงหน้าไป นำพาลมอ่อนๆไปด้วย ที่จากไปไกลยังมีกลิ่นไอที่เย้นหว่านคุ้นเคยสุดๆ
เธอเงยหน้ามองเงาของเขา เย็นชาห่างเหิน ห่างหายจากสายตาเธอทีละก้าวๆ
ยิ่งอยู่ยิ่งไกล ราวกับก็จะเดินออกไปจากชีวิตเธออย่างนี้เลย
หัวใจเจ็บจี๊ดขึ้นมา เจ็บจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก เย้นหว่านจำไม่ได้แล้ว นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เธอเห็นร่างเงาของโห้หลีเฉิน
เมื่อก่อนผู้ชายที่เดินมาหาเธอเสมอ ได้หายไปแล้ว
ความคึกคักของรอบๆราวกับจางหายไปพร้อมกับการจากไปของโห้หลีเฉิน เงียบจนน่ากลัว ความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมานแทบจะกลืนกินเย้นหว่านหายไป ทำประสาทเส้นสุดท้ายของเธอขาด
ทุกครั้งที่เจอเขาอีก ก็ยังเจ็บปวดใจอย่างนั้นอยู่เรื่อย
“เสี่ยวหว่าน เธอมาอยู่นี่ได้ยังไง? พี่ตามหาเธอตั้งนาน ยังนึกว่าเธอไปไหนแล้วเสียอีก”
เย้นโม่หลินวิ่งมาที่ข้างกายของเย้นหว่านอย่างกระหืดกระหอบ เห็นเธอไม่เป็นไร ถึงได้โล่งอกไปที
มีแค่ฟ้าเท่านั้นที่รู้เสี้ยววินาทีที่เขาหันมาแล้วไม่เห็นเย้นหว่าน เขาร้อนรนใจมากแค่ไหน
พอเห็นสายตาของเย้นหว่านมองทิศทางนึงอย่างเอ๋อ สีหน้านั้นมีอารมณ์ที่เศร้าโศกเสียใจจนแทบจะควบคุมไม่อยู่
แค่เวลาครู่เดียว นี่เธอเป็นอะไรไป?
เขามองไปตามสายตาเธอ นอกจากผู้คนที่พลุกพล่านไปมา กลับไม่เห็นข้อมูลที่มีมูลค่าอะไรเลย
เย้นโม่หลินรีบพูด “เสี่ยวหว่าน เป็นอะไรไป?”
เย้นหว่านราวกับไม่ได้ยินยังไงอย่างงั้น ยืนแข็งทื่อไว้ ไม่ขยับและไม่ตอบคำถามเขา
ตอนนี้โลกของเธอเงียบเกินไป เงียบจนราวกับไม่ดำรงอยู่แล้ว ความเจ็บปวดที่ใจแทบจะสลาย เหมือนได้ควักเอาเนื้อในใจเธอไปชิ้นนึง
เจ็บมาก
เย้นโม่หลินกังวลใจขึ้นมา ยืนอยู่ที่ตรงหน้าของเย้นหว่านและกดไหล่เธอไว้
เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวหว่าน เป็นอะไรกันแน่? อย่าทำพี่ตกใจสิ”
เย้นหว่านแววตาระยิบระยับ ทีนี้ถึงดึงสติกลับมาได้บ้าง
มองใบหน้าหล่อเหลาที่เป็นห่วงตรงหน้านี้ เธอคัดจมูกอยากร้องไห้ ความเข้มแข็งที่เสแสร้งขึ้นมาทั้งหมดได้พังทลายลงมาในพริบตาเดียว
เธอมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเย้นโม่หลิน ร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
เคยรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการสูญเสีย เธอสาบานว่าชีวิตนี้จะไม่รักใครอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ ตายยังดีกว่ามีชีวิตอยู่เสียอีก ไม่สามารถหายตลอดชีวิต
เย้นโม่หลินใช้มือข้างนึงหอบตุ๊กตาของเย้นหว่านไว้ มืออีกข้างกอดเย้นหว่านไว้
เขาขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือคอยตบไหล่ของเธอเบาๆ
“ร้องเถอะ มีพี่อยู่”
ที่ๆเย้นหว่านไม่เห็น สายตาของเขากลับลุ่มลึก เยือกเย็นและอันตราย
ถึงก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ทำไมเย้นหว่านถึงยืนเอ๋อและไม่สบายใจ ตอนนี้ก็สามารถเดาออกได้ประมาณนึงแล้ว คนที่สามารถทำให้เย้นหว่านร้องไห้ฟูมฟาย นอกจากโห้หลีเฉิน บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว
ให้ตายสิ
ระยะเวลายาวนานมานี้ โห้หลีเฉินก็ยังเป็นหนามที่ทิ่มแทงใจเย้นหว่าน ทิ่มแทงเป็นพักๆ ทำให้บาดแผลนั้นสดใหม่และมีเลือดไหล
บาดแผลทางใจ เจ็บปวดและทรมานกว่าบาดแผลทางกายเยอะ
เย้นโม่หลินตบไหล่ของเย้นหว่านเบาๆ เสียงทุ้มต่ำมาก
“เสี่ยวหว่าน กลับยุโรปกับพี่เถอะ”
เย้นหว่านไม่ได้ตอบ น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
เย้นโม่หลินพูดต่อ “ตอนที่อารมณ์ไม่ดี เปลี่ยนสถานที่บ้างจะดีขึ้นเยอะมาก เธอก็ถือซะว่าไปท่องเที่ยว พี่พาเธอไปเที่ยวทั่วทุกที่ของยุโรป ถ้าเธอไม่ชอบยุโรป พี่ก็พาเธอไปที่อื่น เที่ยวรอบโลก! ถ้าเธออยาก พี่ก็สามารถพาเธอกลับมาได้”
กลับมางั้นเหรอ?เย้นหว่านไม่อยากกลับมาแล้ว แม้กระทั่งอยากหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย
เธออาลัยอาวรณ์ผืนแผ่นดินนี้ เมืองเมืองนี้อีกเช่นเคย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เหมือนเธอยังทิ้งโห้หลีเฉินไม่ลง ถึงจะเป็นคนที่ไม่มีความหวังเลยสักนิด แต่ก็อยากสูดอากาศเมืองเดียวกับเขา
แต่ตอนนี้ เธอทนรับไม่ไหวอีกแล้ว
การเจอกันโดยบังเอิญทุกครั้ง การเจอกันของทุกครั้ง ล้วนเป็นการทรมานทุกครั้ง ทำให้เธอพังทลาย
เธอชินกับความดีของเขา เหมือนยังไงก็ทนรับความเย็นชาและความห่างเหินของเขาไม่ได้
เธอไม่อยากเห็นร่างเงาที่จากไปของเขาอีกแล้ว
เย้นหว่านพูดเสียงสะอื้น“เรารีบไปยุโรปเถอะค่ะ” หยุดนิ่งไปครู่นึง เธอพูดขึ้นมาอีก“รีบเดินทางโดยเร็ว”