บทที่ 372 ย่านคนรวย
จูเหลียนอีงทำอะไรไม่ถูกมากกว่าเดิม กลัวว่าโห้หลีเฉินจะไม่ยอมฟังแล้วหนีออกไป แล้วจะเกิดผลกระทบร้ายแรงภายหลัง จึงทำได้แค่พยักหน้า
“ได้ ย่าจะบอกให้เดี๋ยวนี้”
ถอยยอมหนึ่งก้าว ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ถูกกว่าเดิม
เรื่องนี้ คงจะปิดบังไว้ไม่ได้แล้ว
สีหน้าที่เจ็บปวดของจูเหลียนอีง เธอค่อยๆก้าวเท้าไปยังห้องพักผู้ป่วย
สายตาของโห้หลีเฉินวิเคราะห์สีหน้าของจูเหลียนอีง ก็ได้รู้ว่า จูเหลียนอีงไม่ได้โกหก เธอรู้เรื่องจริงๆ!
เพียงแค่เรื่องนี้ สำหรับเธอแล้วนั้น อาจจะยอมแพ้ไปแล้ว หรืออาจจะลำบากใจ
แต่เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว……
หัวใจที่มืดมนและหนักอึ้งของโห้หลีเฉิน เหมือนมีแสงของความหวังสว่างขึ้น เขาเร่งฝีเท้า รีบเดินเข้าห้องพักผู้ป่วย
จูเหลียนอีงนั่งบนโซฟา ท่าทางหดหู่ สีหน้าที่เต็มไปด้วยการถอนหายใจ
ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น แดงเล็กน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะร้องไห้มา
โห้หลีเฉินมองจูเหลียนอีงที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ในใจของเขารับรู้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เหมือนว่า เรื่องราวต่อไปนี้ที่จูเหลียนอีงจะเล่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่เพียงเย้นหว่าน แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เรื่องใหญ่พอที่จะเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างในตอนนี้
โห้หลีเฉินเดินไปนั่งบนโซฟาอีกฝั่ง สายตาของเขามองตรงมายังจูเหลียนอีง “ย่าครับ ย่าพูดมาเลยครับ”
บรรยากาศเงียบลงชั่วคราว ก่อนที่เขาจะพูดเสริมขึ้นมา “นานขนาดนี้ผมยังหามาแล้ว ผมรออยู่ที่นี่อีกสองวันก็ได้ครับ”
จูเหลียนอีงพยักหน้า เธอใช้สายตาที่เอ็นดูแต่ก็ไม่รู้ควรต้องทำยังไงมองไปยังโห้หลีเฉิน เธอมองเขาอย่างใจจดใจจ่อ เหมือนกับว่าเห็นคนอื่น จากใบหน้าของเขา
“หลานกับแม่ของหลาน หน้าตาเหมือนกันมาก”
มันคือน้ำเสียงที่ทอดถอนใจ
โห้หลีเฉินหัวใจกระตุกวูบ ประโยคนี้เขาเคยได้ยินมันจากปากท่านเอิร์ลแก่เวนเดลล์
เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็เริ่มที่จะเดาอะไรบางอย่างออก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่ของเขา และตัวตนของเขา?
จูเหลียนอีงพูดต่อไปอย่างช้า : “แท้จริงแล้วแม่ของหลาน ไม่ใช่ผู้หญิงจากครอบครัวปกติทั่วไป เธอมาจากยุโรป เธอคือหญิงสาวที่พ่อของหลานเจอ ตอนที่ไปเรียนต่างประเทศ ทั้งสองต่างรักกันและกันมาก แม้จะมีอุปสรรคมากมายตามหลังพวกเขา พวกเขาหนีออกจากตรงนั้น และแต่งงานในที่สุด”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว แม้ความทรงจำเรื่องพ่อของเขาจะมีมาก แต่กลับเคยไม่รู้ ว่าแม่นั้นหนีมาแต่งงานกับพ่อ
อีกอย่างตระกูลโห้ก็เป็นตระกูลที่มีฐานะมาตลอด พื้นฐานครอบครัวดีจนไม่มีที่ติ แล้วแม่ของเขาจะอยู่ในฐานะไหนกัน ยังจะรังเกลียดฐานะทางบ้านพ่ออีก?
“แม่ของหลาน เธอไม่ใช่คนธรรมดา เธอเป็นคนชนชั้นสูงของตระกูลหยู ผ่านมาหลายร้อยปีแต่อิทธิพลของตระกูลหยูยังคงอยู่ ไม่ว่าโลกจะมีมรสุมอะไร เปลี่ยนไปยังไง แต่พวกเขาไม่เคยล้ม พวกเขายังคงอยู่อันดับต้นๆของระดับโลก เป็นตระกูลที่คนทั้งโลกต้องเกรงกลัว พวกเขาเป็นพวกที่มีฐานะระดับต้นๆ
ส่วนแม่ของหลาน เธอเป็นลูกสาวเพียงเดียวของคนสืบทอดรุ่นนั้น เธอจึงเป็นทายาทผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียว ตั้งแต่เธอลืมตาเจอโลกโชคชะตาก็ได้กำหนดไว้แล้ว เธอไม่สามารถเลือกสามีได้เอง ต้องโดนจับคลุมถุงชนเท่านั้น เพื่อสืบทอดตระกูลหยู
แต่ไม่คาดคิดว่าการจัดการของโชคชะตา จะทำให้เธอมาเจอกับพ่อของหลาน ทั้งสองรักกันอย่างมาก เธอไม่ลังเลที่จะทิ้งครอบครัว แล้วหนีออกจากบ้าน จากนั้น เธอก็ไม่เคยกลับตระกูลหยูอีก เธอใช้ชีวิตโดยไม่ระบุตัวตนอยู่เมืองหนาน”
ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหยู ผู้สืบทอดเพียงผู้เดียว ด้วยตัวตนของเธอ จะบอกว่าเป็นพวกชนชั้นสูงก็ไม่น่าแปลกใจ
ดวงตาของโห้หลีเฉินหมองลงกว่าเดิม ตัวตนของแม่เขายิ่งสูงมากแค่ไหน ยิ่งซับซ้อนมากแค่ไหน สำหรับเขาแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ตระกูลหยูและตระกูลเย้นเป็นมิตรกัน?”
จูเหลียนอีงมาพูดเรื่องแม่ของเขาในเวลาแบบนี้ โห้หลีเฉินเป็นคนหัวไว เขาจึงพอจะเดา ความสัมพันธ์ของสองตระกูลได้
ตระกูลเย้นคือคนชนชั้นสูงที่เก็บตัว เขาใช้วิธีทั้งหมดที่มี แต่กลับหาข้อมูลตระกูลเย้นไม่เจอ เห็นได้ว่าพวกเขาเก็บตัวค่อนข้างมิดชิด ถึงแม้เขาจะยังคงตามหาต่อไป ความหวังแทบจะไม่มี
ส่วนตระกูลหยูที่เป็นคนชนชั้นสูงอันดับต้นๆของโลก มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันกับตระกูลเย้น และมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
จูเหลียนอีงพยักหน้า
“เคยได้ยินแม่ของหลานบอกว่า ตระกูลหยูและตระกูลเย้นเป็นความสัมพันธ์ที่คลุมถุงชนกันมาตลอด และทายาทคนปัจจุบัน ตั้งแต่รู้จักตระกูลหยูมาคนนี้เป็นคนที่โดดเด่นที่สุด ตอนนี้เขามีภรรยาที่แต่งงานด้วยแล้ว แต่คู่หมั้นเขายังอยู่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าคู่หมั้นของเขาคือใคร ถ้าย่าเดาไม่ผิด เย้นหว่านน่าจะเป็นคู่หมั้นของเขา ถึงแม้ไม่ใช่เธอ ก็ต้องเป็นคนในตระกูลเย้นแน่นอน”
โห้หลีเฉินทั้งตกใจและดีใจเป็นอย่างมาก “ผมสามารถหาคนของตระกูลเย้น ผ่านทางเขาได้!”
ถ้าหาคนในของตระกูลเย้นได้หล่ะก็ เขาก็จะมีวิธีหาตระกูลเย้นเจอ หาเย้นหว่านเจอ
โห้หลีเฉินลุกขึ้นยืนอย่างรู้สึกประหลาดใจ อยากไปจัดการเรื่องนี้ทันที แต่กลับโดนจูเหลียนอีงกดไว้
“ย่ารู้ว่าหลานแอบเตรียมกำลังลับหลัง แต่ถ้าหลานไปแบบนี้ หลานแน่ใจหรอว่าจะหาเย้นหว่านเจอ?”
ถ้าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างศัตรูกับตระกูลหยู แล้วยังจะโดนผลกระทบที่ร้ายแรงมากมายอีก
ถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่หาเย้นหว่านเจอเลย
โห้หลีเฉินยืดตัวนั่งหลังตรง ดวงตาที่หมองลงกว่าเดิม ขอแค่เป็นเรื่องของเย้นหว่าน เขามักจะทำตัวห่ามเสมอ
นี่คงเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะสามารถหาตัวเย้นหว่านเจอ เขาไม่มีทางให้เกิดข้อผิดพลาดประการใดเกิดขึ้นแน่นอน
จูเหลียนอีงถอนหายใจ หยิบกล่องใส่ทองออกจากอ้อมแขน แล้วยื่นมันให้กับโห้หลีเฉิน
“นี่คือของที่แม่หลานให้ย่าก่อนจะตาย เธอบอกย่าว่า ถ้าหากวันหนึ่งหลานจำเป็นต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลหยู ให้เอากล่องนี้กลับตระกูลหยู ที่ตระกูลหยู แม่ของหลานเป็นทายาทผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียว แล้วหลานเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ หลานคือทายาทผู้สืบทอดตระกูลหยู”
ถ้าจะต่อกรกับตระกูลหยู กลับตระกูลหยูไปเลยไม่ดีกว่าหรอ ในนามทายาทผู้สืบทอด ก็จะมีอำนาจควบคุมเรื่องพวกนี้ทั้งหมด
เพียงแต่ว่าถ้าหลีเฉินกลับไปตอนนี้ จะได้ตระกูลหยูมา หรือจะโดนคนพวกนั้นกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ผลลัพธ์นั้น อันตรายไม่สามารถที่จะคาดเดาได้
โห้หลีเฉินมองกล่องในมือของเขา ดวงตาของเขามืดมนไปหมด
แน่นอนว่าเขาเข้าใจดี ตอนนั้นที่แม่หนีออกมาจากตระกูลหยู ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลตัวเอง แต่ตอนนี้เขาอยากจะกลับไปตระกูลหยู ยืนยันสายสัมพันธ์ เขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากและอันตรายแค่ไหน
แต่ถ้านี่เป็นวิธีเดียวจะหาเย้นหว่านเจอ เขาจะยอมทุ่มให้ถึงที่สุด!
ตระกูลหยูหรอ? กลับไปก็จบแล้ว!
——
บนแฮลิคอปเตอร์
เย้นหว่านนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ก้มหน้ามองทิวทัศน์ด้านนอก
นี่เป็นเมืองของต่างประเทศที่เธอไม่เคยมาเลยสักครั้งเดียว ท่ามกลางเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ตึกสูงมากมาย แต่กลับมีเทือกเขาลูกใหญ่กลางเมือง ทอดยาวไปทั่วเมือง
ดูเหมือน เป็นการผสมผสานระหว่างป่ากับเมือง แต่กลับสวยงาม
เธอกลับรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ที่ดินใจกลางเมืองราคาสูงมากไม่ใช่หรอคะ ทำไมยังมีภูเขาลูกใหญ่หลายลูกอยู่ตรงนั้นหล่ะคะ มันเป็นการเสียทรัพยากรผืนใหญ่ไปไม่ใช่หรือไงคะ? คนที่นี่ ทำไมพวกเขาไม่ทำให้มันเป็นพื้นราบคะ”
หรือว่า สร้างเมืองนี้บนพื้นราบที่สมบูรณ์ ถึงจะสามารถใช้ทรัพยากรและที่ดินได้เต็มที่
เย้นโม่หลินมองไปตามทิศทางที่เย้นหว่านมอง สายตาของเขานั้นช่างนุ่มนวล
เขาอธิบายว่า “เพราะภูเขาพวกนี้ เดิมทีมันก็มูลลาค่าสูงอยู่แล้ว พวกมัน มีคนซื้อไปทั้งหมดแล้ว เธอลองมองไปที่ช่วงกลางหุบเขาดีๆสิ มันมีอะไรแตกต่างใช่ไหม?”
เย้นหว่านตั้งใจมองอย่างละเอียด จากนั้นก็ตกใจที่เจอกับเรื่องที่น่าอัศจรรย์