บทที่ 404 ราตรีสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์
แก้มของเย้นหว่านแดงไปจนถึงใบหูทันที
“ฉันวางละนะ บาย!”
พูดจบ เธอก็รีบวางสายไปอย่างเร็ว และวิดีโอก็ตัดไปในทันที
วิดีโอมืดสนิทไปทันที ไม่มีใบหน้าอันหล่อเหลาของโห้หลีเฉินปรากฏขึ้นมาอีก
แต่หัวใจของเย้นหว่านยังคงเต้นแรงไม่หยุด ในสมองมีภาพและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโห้หลีเฉินลอยขึ้นมา
ติ๊ง
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มีเสียงข้อความดังขึ้น
เย้นหว่านรีบเปิดโทรศัพท์ดู ก็เห็นโห้หลีเฉินส่งข้อความมา
โห้หลีเฉิน: หลับตาลง นอนหลับฝันดีนะ ราตรีสวัสดิ์
ในตัวอักษรนั้นมีความเป็นห่วงของเขาอยู่เต็มไปหมด
เย้นหว่านมองดูตัวหนังสือบนนั้น หัวใจเต็มไปด้วยฟองสีชมพูหวานแหวว ดีใจจนเหมือนเด็กสาวที่พึ่งมีความรักครั้งแรก
เธอดีใจจนกลิ้งไปมาบนเตียงไม่รู้กี่ครั้ง ถึงหลับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เช้าวันที่สอง
เย้นหว่านพึ่งลืมตาขึ้นมา ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้น มองดูด้านบนมีการแจ้งเตือนข้อความที่โห้หลีเฉินส่งมาเด้งขึ้น
ครึ่งชั่วโมงก่อน เขาส่งมาว่า: อรุณสวัสดิ์
เย้นหว่านมองดูตัวหนังสือบนโทรศัพท์ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มหวานขึ้นอย่างอดไม่ได้ ที่แท้โห้หลีเฉินที่เป็นผู้ชายเย็นชาดูไม่สนโลกอะไร จะรู้จักส่งอรุณสวัสดิ์กับราตรีสวัสดิ์ด้วย
เธอรู้สึกโชคดีอย่างมาก ที่ได้เป็นคนที่เขาชอบ
เย้นหว่านรู้สึกดีใจอย่างมาก จึงรีบส่งข้อความให้โห้หลีเฉิน: ฉันพึ่งตื่น อรุณสวัสดิ์
ไม่นาน โห้หลีเฉินก็ส่งข้อความกลับมา
เย้นหว่านถือโทรศัพท์อยู่ตลอด กำลังจะเปิดดู ในตอนนี้เอง ประตูห้องกลับมีเสียงเปิดประตู “แกรก” ดังขึ้น
“เสี่ยวหว่าน ทำไมเธอยังไม่ตื่น รู้สึกไม่สบายอีกแล้วเหรอ?”
เย้นโม่หลินเดินเข้ามา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
เย้นหว่านอึ้งชะงัก มองดูโทรศัพท์เก่าที่ตัวเองใช้อยู่ ก็รีบยัดโทรศัพท์เข้าใต้ผ้าห่มไป
แต่ท่าทีการกระทำของเธอก็หนีไม่พ้นสายตาอันเฉียบคมของเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เธอทำอะไรน่ะ?”
“ไม่นะ ไม่ได้ทำอะไร”
เย้นหว่านรีบพูด สายตากระสับกระส่ายไปมาไม่กล้าสบตาตรงๆ ตอนนี้เธอใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ติดต่อกับโห้หลีเฉิน ถ้าถูกเย้นโม่หลินจับได้ ถ้าเขายึดไปล่ะทำยังไง?
ด้วยระดับการปกป้องน้องสาวของเย้นโม่หลิน เป็นไปได้มากที่เขาจะทำแบบนี้
ต้องระวังหน่อย
เย้นโม่หลินเดินไปข้างเตียงอย่างสงสัย มองดูเย้นหว่านที่สวมชุดนอน และแบมือไปหาเธอ
“ซ่อนอะไร เอามาให้ฉันสิ”
สายตาที่เฉียบแหลมนั้น คือคิดแล้วว่าเธอต้องซ่อนของอะไรไว้แน่
เย้นหว่านยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ แต่ใต้ผ้าห่มนี้ ก็ยัดโทรศัพท์เข้าไปด้านในอีก
“ฉันไม่ได้ซ่อนอะไรจริงๆนะ พี่” เย้นหว่านตอบไปอย่างเด็ดขาด ต่อมา ก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด “พี่ ยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ โตขนาดนี้แล้วด้วย พี่พรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ฉันก็อายเหมือนกันนะ”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้ว “เธอเป็นน้องสาวฉัน……”
“งั้นถ้าเกิดวันไหนฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าล่ะ”
คำพูดของเย้นโม่หลินก็ถูกกลืนเข้าไปทันที ใบหน้าหล่อเหลานั้นแดงระเรื่อขึ้น และทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ที่จริงปกติเขาจะเคาะประตูก่อนค่อยเข้ามา แต่เรื่องของเมื่อคืนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เย้นหว่านยังตื่นสายอีก ก็เป็นห่วงว่าเธอจะป่วยที่ไหนอีกหรือเปล่า ถึงได้เดินเข้ามาเลย
“ได้ ครั้งหน้าฉันจะเคาะประตูก่อนค่อยเข้ามาแล้วกัน”
เย้นหว่านพยักหน้าอย่างพอใจ ในใจก็โล่งอกไปที
แบบนี้แล้ว โห้หลีเฉินมาห้องของเธอ อย่างน้อยก็ไม่ได้เข้ามาเห็นทันที
และอีกอย่าง เธอก็เปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จแล้ว
เย้นหว่านแอบดีใจ รีบเปิดผ้าห่มออก ลุกขึ้นจากเตียง
“พี่ ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนเดี๋ยวค่อยลงไปทานข้าว พี่ลงไปรอก่อนเลย”
เห็นเย้นหว่านดีขึ้นมากแล้ว ก็ดูไม่เป็นอะไรมากแล้ว และภายในห้องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกๆ
ความสงสัยในใจเย้นโม่หลินก็ลดลงไปมาก ถึงได้พยักหน้าและเดินออกไป
ปิดประตู เย้นหว่านรีบกระโดดลงเตียง ค้นโทรศัพท์ออกมา รีบเปิดข้อความที่โห้หลีเฉินส่งมา
โห้หลีเฉิน: รีบไปกินข้าวเช้าเลย
เป็นคำพูดเป็นห่วงเธอ
เย้นหว่านรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก และตอบกลับไปว่า: ได้ ตอนนี้จะไปกินแล้ว
พอส่งข้อความไป เธอก็รีบวิ่งไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หาชุดเดรสสีชมพู
เธอสวมชุดนี้แล้วดูสวยและสาวอย่างมาก
พอแต่งตัวเสร็จแล้ว เย้นหว่านก็รีบลงไปทานข้าว เย้นโม่หลินกับพ่อแม่กำลังนั่งรอเธออยู่
เธอรู้ว่า ที่จริงพ่อแม่มีเรื่องธุระให้จัดการมากมายในทุกวัน แต่พวกเขากลับยังคงเจียดเวลาออกมา กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีมาก ยิ่งทำให้เย้นหว่านรู้สึกถึงความอบอุ่นในบ้าน
“พ่อแม่ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
เย้นหว่านเดินไปด้วยรอยยิ้ม เธอนั่งลงประจำที่นั่ง
เย้นโม่หลินมองดูเย้นหว่านที่ดูสดใสขึ้น อึ้งกับความสวยของเธอ รู้จักกับเย้นหว่านมาตั้งนาน เธอไม่เคยอารมณ์ดีขนาดนี้มาก่อนเลย ชอบทำหน้ามืดมนตลอด และดูไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา
แม้จะยิ้ม ก็ดูจะฝืนใจมาก ทำเอาเขารู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก
แต่เย้นหว่านในตอนนี้ สวมชุดเดรสสีชมพู แก้มแดงระเรื่อ ในตอนที่ยิ้มราวกับว่ามีดวงดาวเปล่งประกายอยู่ในดวงตาเธอ ดูสวยมากจริงๆ
เย้นเจิ้นจื๋อผู้ซึ่งเป็นพ่อ ก็ต้องชอบเย้นหว่านในตอนนี้อยู่แล้ว แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
ไม่เห็นคืนเดียว ทำไมเย้นหว่านเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ล่ะ?
เขาถามขึ้น: “เสี่ยวหว่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า บอกกับพ่อหน่อยสิ”
ก็ต้องเกี่ยวกับความหวานของโห้หลีเฉินอยู่แล้ว
แต่เย้นหว่านกลับพูดไม่ได้
เธอส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เมื่อคืนหนูนอนสบาย อารมณ์ก็เลยดีไปด้วย”
เย้นเจิ้นจื๋อหรี่ตาลง นี่เรียกว่าอารมณ์ดีงั้นเหรอ? อารมณ์ดีมากเลยต่างหาก
ต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่
รู้สึกได้ถึงสายตาของเย้นเจิ้นจื๋อ ยังมีสายตากงจืออวีที่มองมาตลอด เย้นหว่านรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
ความสุขของเธอ ไม่สามารถปิดบังได้เลยจริงๆ
ลังเลสักพัก เย้นหว่านมองดูคนที่นั่งอยู่ และเปลี่ยนเรื่องพูด “หยูซือห้านยังเป็นแขกในบ้านเรานี่ ทำไมเขาไม่มากินข้าวละคะ? หรือว่าเขาไปแล้ว?”
พอพูดถึงคำด้านหลัง เสียงของเย้นหว่านก็ดูเหมือนรอคอยอย่างมาก
เธอไม่อยากจะเจอกับหยูซือห้านมากนัก ทางที่ดีให้เขาออกไปเร็วๆจะดีกว่า แบบนั้นก็จะไม่กระทบถึงความสัมพันธ์ของเธอกับโห้หลีเฉิน
แต่ว่า หยูซือห้านกลับไม่ใช่คนที่เธอคาดหวังเสียเท่าไหร่
กงจืออวีตอบไปว่า: “ก่อนหน้านี้เพราะเขาอยู่ ลูกก็ไม่ลงมากินข้าวเลย ดังนั้นเลยให้เขาไปที่ห้องครัวเล็ก ไปหาข้าวกินเองที่นั่น ไม่ร่วมโต๊ะเดียวกับพวกเราแล้ว”
ทำแบบนี้กับแขก ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ แต่กงจืออวีเห็นได้ชัดว่าดูเป็นห่วงเย้นหว่าน
แม้จะเป็นเรื่องกินข้าวไม่กินข้าวปัญหาเล็กแบบนี้
เย้นหว่านรู้สึกซึ้งใจ และไม่อยากให้พ่อแม่ลำบากใจ จึงพูดว่า:
“ที่จริงหนูก็ไม่ได้เกลียดหยูซือห้านมาก แต่แค่ว่าหนูไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ยังมีการหมั้นตอนเด็กอีก ตอนอยู่ด้วยกันก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ต่อไปหนูจะพยายามทำใจ ปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นแขกธรรมดาคนหนึ่ง”