บทที่466 โดยความผิดพลาด
ป่ายฉีมองเย้นหว่าน สีหน้าเคร่งขรึม แล้วก็ค่อยๆ พูดออกมา
“มันเป็นอาการแพ้จริง แต่ว่ามันไม่ใช่การแพ้จากการที่กินกุ้งพวกนั้น แต่ว่ามีคนใส่กุ้งป่นที่ผ่านการสกัดมาแล้วไว้ในอาหาร
ปกติเสี่ยวหว่านก็กินกุ้งเยอะมากอยู่แล้ว แล้วก็เลยได้กินกุ้งป่นพวกนี้เข้าไปเยอะด้วย ทำให้ความเข้มข้นในอาหารมากเกินไป ร่างกายรับไม่ไหว ถึงได้เกิดปฏิกิริยาแบบนี้”
อาการแพ้ที่รุนแรงแบบเฉียบพลันนี้ ถ้าเกิดว่ารักษาไม่ทันเวลา จะเสียชีวิตทันที
ห้องครัวของตระกูลเย้น ต้องไม่ใส่ของพวกนี้อย่างแน่นอน แล้วอีกอย่าง ปกติแล้วคนในตระกูลเย้นไม่มีใครที่มีอาการแพ้ คนที่โต๊ะกินข้าวนั้น คนเดียวที่มีอาการแพ้ก็คือ……
ป่ายฉีมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสายตาที่จมดิ่ง
ใบหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉินนั้นมืดและหนัก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดที่น่าเขย่าขวัญ นิ้วกำแน่น จนมีเสียง
แต่ละคำของเขา เหมือนกับว่าค่อยๆ ลอดผ่านช่องฟันมา
“มีคน ต้องการทำร้ายฉัน”
แต่ว่าบังเอิญ เย้นหว่านกินผงกุ้งพวกนั้นไป นำไปสู่การกินที่มากเกินไป
ป่ายฉีเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
ความจริง มันเป็นได้เพียงเท่านี้แหละ
กุ้งป่นแบบนี้ถ้าเกิดว่ากินมากเกินไป คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่แพ้ ก็จะเกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน แต่ว่าถ้าเกิดว่าคนที่แพ้กุ้งกินเข้าไป จะแพ้จนถึงขนาดตายได้เลย และสาเหตุของการตาย ก็จะถูกตัดสินว่าเป็นเพราะกินกุ้งเข้าไปเท่านั้น
ทำร้ายคนอย่างมองไม่เห็น เจตนาเหี้ยมโหด
สีหน้าของโห้หลีเฉินดูแย่อย่างมาก วันนี้ตอนมื้อเย็น เย้นหว่านที่กินกุ้งนั้น อยู่ไม่ห่างจากเขาเท่าไหร่ บางทีก็ถือโอกาสหยิบชามซุปของเขาขึ้นดื่ม นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอกินที่เป็นของเขา
บางทีกุ้งป่นนั้น อาจจะอยู่ในซุปชามนั้น!
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็จะให้มันได้ชดใช้เป็นร้อยเท่า! ”
โห้หลีเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมืดครึ้ม ร่างกายของเขาเปล่งออร่าที่ทำให้คนหนาวสั่นและหวาดกลัว
ป่ายฉีอึ้งไป เขามองสิ่งที่พบบนร่างกายของโห้หลีเฉินอย่างประหลาดใจ มันไม่ใช่ออร่าของคนที่เป็นแค่คุณชายจากตระกูลร่ำรวยจากเมืองหนานอย่างแน่นอน
เขาเม้มปากและสังเกตโห้หลีเฉิน เขาเป็นแค่กู้ซึงจากเมืองหนานเท่านั้นเองจริงๆ เหรอ?
ผู้ชายคนนี้ ต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นอย่างแน่นอน
คิดไตร่ตรองในใจ แต่ว่าไม่ได้แสดงอะไรออกมา ป่ายฉีพูดว่า
“คุณชายกู้ ตัวตนของนายนั้นพิเศษ แล้วก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องอีกต่างหาก เรื่องนี้นายทำเป็นไม่รู้น่าจะดีกว่า ให้ฉันเป็นคนออกหน้าเอง แอบสืบดู จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นง่ายๆ น่าจะสะดวกกว่า”
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ป่ายฉีไม่ได้บอกพวกกงจืออวีก่อนหน้านี้
ข้อแรก เพราะว่าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลไปด้วย ข้อที่สอง พวกเขารักเย้นหว่านมากเกินไปจริงๆ รักลูกสาวมากจนอาจจะทำเรื่องบกพร่องได้
ป่ายฉีจงใจให้คนที่อยู่เบื้องหลังคิดว่า เรื่องนี้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว จะได้ไม่ระมัดระวังตัวมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่นามสกุลเย้น แต่ว่าเขาเองก็เป็นสมาชิกของตระกูลเย้น แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะไม่อนุญาตให้คนที่มีเจตนาไม่ดีอยู่ที่ตระกูลเย้นต่อ
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา เขาไม่เต็มใจอย่างมาก
คนที่ทำร้ายเย้นหว่าน เขาต้องการจะค้นหาทันทีด้วยตัวของเขาเอง แล้วก็ฆ่ามันซะ
แต่ว่าสิ่งที่ป่ายฉีพูด ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
นอกจากนี้ ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไงเขาก็อยู่ในตัวคนของกู้ซึง การกระทำต้องอำพราง รักษาไว้ ไม่สามารถเปิดเผยได้มากเกินไป
เรื่องนี้ ส่งให้ป่ายฉีเป็นคนทำคือวิธีจัดการที่ดีที่สุดแล้ว
ลังเลอยู่หลายวินาที โห้หลีเฉินถึงได้ตัดสินใจ มองหน้าป่ายฉีอย่างอึมครึม แล้วก็พูดว่า
“ถ้าเกิดว่าได้ผลยังไง ฉันต้องการรู้ทันที”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสริมว่า “ไม่ว่าใครเป็นคนลงมือ ฉันก็ต้องการจะรู้”
ในใจของโห้หลีเฉิน มีผู้ต้องสงสัยอยู่แล้ว
ป่ายฉีรู้อยู่แล้วว่าเขาพูดถึงใคร แต่ว่านึกไม่ถึงเลยว่า โห้หลีเฉินจะเด็ดเดี่ยวได้ขนาดนี้ แม้ว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายจะทรงพลังและก็สามารถทำลายครอบครัวของเขาได้เป็นร้อย เขายังไม่กลัวเลยงั้นเหรอ?
เขากล้าหาญเกินไป หรือว่าไม่กลัวเพราะว่ามีคนหนุนหลัง?
ใจของโห้หลีเฉินอยู่บนร่างกายของเย้นหว่าน เขาก็ไม่ได้สนใจว่าป่ายฉีจะสงสัยอะไร สีหน้าของเขาอึมครึม นั่งอยู่ข้างเตียงอยู่แบบนั้น
ในมือถือผ้าขนหนู แล้วก็เช็ดหน้าผากของเธอเบาๆ
ป่ายฉียืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับมองด้วยสายตาที่สับสน เรื่องนี้ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ เขาต้องสืบได้อยู่แล้ว และกู้ซึง……
สรุปแล้วเขาซ่อนอะไรไว้ เขาก็สืบได้เหมือนกัน
——
“คุณโห้……”
“คุณโห้ โห้หลีเฉิน……”
“โห้หลีเฉิน……”
ในห้องที่เงียบสงัด มีเสียงที่ประหม่าและหวาดกลัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังฝันอยู่ สีหน้าของเธอเจ็บปวด เหมือนกับว่าฝันร้ายมา
โห้หลีเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง มองเธอด้วยสายตาเจ็บปวด
เขายื่นมือออกไป แล้วก็กุมมือเล็กๆ ของเธอไว้แน่น ขยับนิ้วของเธอออกทีละนิด
ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ฉันอยู่ ฉันอยู่ตรงนี้”
“โห้หลีเฉิน”
มือเล็กของเย้นหว่านกางออก แล้วก็กำแน่น แล้วก็คว้ามือของเขาไว้แน่น
ดวงตาของเธอ ก็ลืมขึ้นมาเหมือนกัน
พอเธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่คุ้นเคยของเขาเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกงงงวย แล้วก็สะบัดมือของเขาออกโดยอัตโนมัติ
สีหน้าสั่นไหวและกระสับกระส่าย “โห้หลีเฉินล่ะ โห้หลีเฉิน……”
ดูเหมือนกับว่าเธอยังไม่ตื่นจากฝันร้าย ดวงตาแดงก่ำ เหมือนกับว่าจะกลับเข้าไปสู่ฝันร้ายนั้นอีกครั้ง
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วอย่างปวดใจ แล้วปลอบใจเธอว่า “เย้นหว่าน เธอมองดีๆ ฉันเอง”
เย้นหว่านมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า แล้วความทรงจำของช่วงเวลานี้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในความคิดที่ว่างเปล่า คนที่มีใบหน้าของกู้ซึงที่อยู่ตรงหน้าเธอ ก็คือโห้หลีเฉินของเธอจริงๆ
หัวใจที่บินหนีไปของเธอ ถึงได้คลายลงอีกครั้ง
“โห้หลีเฉิน ฉันก็นึกว่านายไม่อยู่อีกแล้ว……”
เธอสะอื้น แล้วก็โผเข้าไปในอ้อมอกของเขา
สีหน้าของโห้หลีเฉินนุ่มนวล ตอนที่กำลังจะรับเธอ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที สายตาของเขากลายเป็นคมกริบ แล้วก็ลุกขึ้นทันที ออกจากเย้นหว่าน
เขามองเธอจากมุมสูง สีหน้าจริงจัง และอารมณ์เสีย
“เย้นหว่าน เธอยังคิดถึงโห้หลีเฉินอยู่อีกเหรอ? ”
เย้นหว่านถูกเขาตะคอกใส่จนอึ้ง สีหน้าดูตะลึง
เขาคือโห้หลีเฉินไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องถามเธอกลับแบบนี้ด้วย? แล้วสีหน้าก็ดูไม่แฮปปี้อีก
หรือว่านี่เธอกำลังฝันอยู่ ยังไม่ตื่นอีกยังงั้นเหรอ?
เย้นหว่านกำลังสงสัย ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากถามเขา ก็เห็นโห้หลีเฉินขยับไปด้านข้างเล็กน้อย ไปยืนอยู่ด้านข้าง สายตาของเธอเอียง แล้วก็เห็นเย้นโม่หลินที่ยืนอยู่ตรงประตู
เธอตะลึงไป แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกทันที เย้นโม่หลินมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
แล้วเขาได้ยินมากน้อยแค่ไหนกัน?
เธอรู้สึกตื่นตระหนก พยายามคิดวิธีแก้ไข แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ “พี่ ฉันไม่ได้หมายความว่ายังไง ที่จริงแล้วฉัน……ฉัน……”
เย้นหว่านพูดจาอ้ำอึ้ง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม
เธออยากจะอธิบาย แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าเธอลืมโห้หลีเฉินไปแล้ว การโกหกหนึ่งเรื่อง แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มันสำเร็จ
โห้หลีเฉินเห็นท่าทางลำบากใจของเธอ ก็รู้สึกใจอ่อนและก็สงสาร
ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะเขา เย้นหว่านก็ไม่ต้องมานอนทรมานอยู่ที่นี่ และก็ไม่ต้องแม้แต่ปิดบังว่าตัวเองรักใคร
“แค่กๆๆ ”
เย้นโม่หลินยืนอยู่หน้าประตูและทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และก็ไม่อยากจะเห็นน้องสาวของตัวเองต้องลำบากใจ ก็เดินเข้าไป แล้วก็ให้การปรากฏตัวของเขาตัดบทจากหัวข้อนี้ไป
เขามองไปที่เย้นหว่านด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “เสี่ยวหว่าน รู้สึกยังไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนไหม? ”