บทที่467 เสี่ยวหว่าน เธอจะหลายใจแบบนี้ไม่ได้
พอเห็นท่าทางของเย้นโม่หลินที่พยายามจะช่วยเปลี่ยนเรื่องนั้น ในที่สุดก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจของเย้นหว่านก็ได้ถูกยกออก
ดูเหมือนว่า เย้นโม่หลินยังไม่ได้ยินข้อมูลที่สำคัญ
เธอส่ายหน้าเล็กๆ ขาวๆ ของเธอ “ไม่มี แค่รู้สึกหิวนิดหน่อยเอง”
“ฉันได้ให้แม่บ้านเตรียมโจ๊กข้าวฟ่างไว้แล้ว เดี๋ยวก็คงเอามาเสิร์ฟแล้ว”
เย้นโม่หลินพูดอย่างอ่อนโยน
เขาพึ่งจะเดินมาถึงข้างเตียง ตอนนี้เอง โห้หลีเฉินที่เดิมทียืนอยู่ข้างเตียงก็หลีกทางให้
โห้หลีเฉินเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก
แผ่นหลังที่สูงใหญ่เย็นชา
เย้นโม่หลินรู้สึกปวดหัว นี่กู้ซึงหึงยังงั้นเหรอ
ก็จริง ถ้าเกิดว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วผู้หญิงที่ตัวเองชอบยังคงพูดถึงผู้ชายคนอื่น จะทนได้ยังไงกัน
เย้นโม่หลินถอนหายใจ แล้วก็หันไปมองเย้นหว่าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดอย่างจริงจังว่า
“เสี่ยวหว่าน เธอบอกพี่มาตามตรงนะ ในใจของเธอ ชอบใครกันแน่? ”
เย้นหว่านถูกถามจนอึ้งไป
แน่นอนว่าเธอชอบเพียงแค่โห้หลีเฉินเท่านั้น แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้……พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอชอบกู้ซึง และก็เตรียมจะให้เธอคบกับกู้ซึง ส่วนโห้หลีเฉินนั้น ถือว่าเป็นแค่แฟนเก่า คนรักเก่ายังงั้นเหรอ?
ถ้าเธอบอกว่าชอบกู้ซึง ถ้ายังงั้นพี่ชายกับพ่อและแม่ จะถือว่าโห้หลีเฉินเป็นบุคคลในอดีต ต่อไปถ้าอยากจะคบกับโห้หลีเฉินนั้น เกรงว่ามันจะไม่ง่ายแล้ว
แต่ว่าถ้าเกิดว่าเธอบอกว่าชอบโห้หลีเฉิน ถ้ายังงั้นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างเธอกับกู้ซึงในตอนนี้ล่ะ ก็พูดไม่ได้เหมือนกัน
เย้นหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มองไปที่เย้นโม่หลินด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“เหมือนกับว่าฉันชอบทั้งสองคนเลย”
เย้นโม่หลิน:“……”
เขาตกใจมากจนหาอะไรมาพูดไม่ได้
หัวใจของคนคนหนึ่งสามารถใส่ได้สองคนเลยเหรอ? นี่น้องสาวเขา……หลายใจยังงั้นเหรอ?
“แค่กๆ ” เย้นโม่หลินไออย่างเก้อเขิน เขาสั่งสอนอย่างจริงใจมาก “เสี่ยวหว่าน สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่มีคู่สมรสคนเดียว ต่อให้เธอชอบทั้งสองคน แต่ว่าเธอเลือกคบได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
เย้นหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และถามว่า “ไม่ว่าฉันจะเลือกใคร พี่ก็จะสนับสนุนฉันใช่ไหม? ”
เย้นโม่หลินเม้มปาก แต่ว่าไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
น้ำเสียงแน่วแน่ “ถ้าเกิดว่ากู้ซึงจริงใจกับเธอ100%จริงๆ พี่ก็จะสนับสนุนเขา ส่วนคนอื่นนั้น เป็นไปไม่ได้”
ความหวังในดวงตาของเย้นหว่านดับวูบลงในทันที ที่แท้โห้หลีเฉินก็ไม่มีความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
แล้วเธอจะคบกับโห้หลีเฉินอย่างเปิดเผยได้ยังไงกัน?
เย้นหว่านกลัดกลุ้มใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วโห้หลีเฉินวางแผนยังไง
เห็นท่าทีที่ผิดหวังของเย้นหว่าน เย้นโม่หลินก็ขมวดคิ้ว รู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิม
เขาเห็นท่าทีสองจิตสองใจของเย้นหว่าน ก็ยังรู้สึกโกรธ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวกู้ซึงเองเลย น่าจะรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกแน่
เมื่อกี้เดินออกไปเพราะความหึง ถือว่าเป็นเรื่องเบาไปเลย
ยังไงตอนนี้ก็มีความประทับใจที่ดีกับกู้ซึง บวกกับเย้นหว่านก็ชอบเขาเหมือนกัน เย้นโม่หลินก็ไม่อยากให้เย้นหว่านต้องพลาดโอกาสครั้งนี้
น้ำเสียงของเขาจริงจัง “เสี่ยวหว่าน กู้ซึงเป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย ถ้าเกิดว่าเธอมีใจให้เขา เธอก็ควรจะชัดเจนเกี่ยวกับหัวใจของเธอ มีใจเดียวให้กับเขา”
เย้นหว่านเม้มปาก เธอรู้ว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นห่วง แต่ว่า ความคิดของพวกเขาไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกัน
ดังนั้น เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
ความเงียบของเธอกลับทำให้เย้นโม่หลินปวดหัวยิ่งกว่าเดิม
เขาเกลี้ยกล่อมต่อว่า “เสี่ยวหว่าน เมื่อกี้กู้ซึงโกรธเพราะว่าหึง เธอไม่ได้รู้สึกถึงวิกฤตเลยเหรอ? เธอไม่กลัวว่าจะพลาดโอกาสกับเขาไปเพราะเรื่องนี้เหรอ? ”
“เขาไม่……”มีทางหรอก……
คำพูดของเย้นหว่านพึ่งจะมาหยุดอยู่ตรงปาก แล้วก็รีบหุบปากไปทันที
พี่ชายของเธอไม่รู้ความจริง เธอยังพูดไม่ได้
แต่ว่าเย้นหว่านเองก็สงสัย เรื่องนี้โห้หลีเฉินไม่มีทางหึงตัวเองได้หรอก แต่ว่าทำไมเขาถึงออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำล่ะ?
แกล้งทำเป็นโกรธให้เย้นโม่หลินเห็นยังงั้นเหรอ?
ถ้ายังงั้นเธอต้องแสดงละครด้วยรึเปล่า……
ตอนที่เย้นหว่านกำลังลังเลหัวข้อนี้อยู่ ก็เห็นว่าประตูที่อยู่ด้านหลังก็ถูกผลักให้เปิดออก
โห้หลีเฉินถือถาดที่งดงาม มีโจ๊กข้าวฟ่างชามหนึ่งกับผักก่อนหนึ่งอยู่บนหนึ่ง แล้วก็ก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม
เขามองเย้นหว่านแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นมากินข้าวได้แล้ว”
เย้นหว่านยิ้มอย่างรู้เท่าทัน ตอนนี้เองเธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้เขาก็ไปเตรียมของกินมาให้เธอ
เย้นโม่หลินมองดูโห้หลีเฉินเอาถาดอาหารวางไว้บนโต๊ะเล็กอย่างประหลาดใจ ผ่านไปนานถึงจะดึงสติกลับมาได้
นี่เขาไม่ได้เดินออกไปเพราะว่าหึงยังงั้นเหรอ?!
ให้เขากังวลอยู่เกือบครึ่งวัน แล้วก็พยายามชักจูงน้องสาวตัวเอง
แต่ว่า พอเห็นท่าทางที่ใจกว้างของโห้หลีเฉินแบบนี้แล้ว เย้นโม่หลินก็ยิ้มมุมปากอย่างสบายใจ
ผู้ชายใจกว้าง ถึงจะสามารถอดทนรักใคร่ผู้หญิงของตัวเองได้
ดีมาก
เขาหันไปมองเย้นหว่าน “หิวไม่ใช่เหรอ? มีแรงลุกขึ้นมาเองไหม? ”
“อืม”
เย้นหว่านพยักหน้า เปิดผ้าห่มอยากจะลงมาจากเตียง แต่ว่าพอเท้าแตะกับพื้น ก็รู้สึกร่างกายอ่อนแรงทันที
เหมือนกับว่าเธอจะยังอ่อนแออยู่
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น ร่างที่สูงใหญ่ของโห้หลีเฉินก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วก็ยื่นมือไปหาเธอ พร้อมกับถามอย่างเป็นสุภาพบุรุษว่า
“ฉันอุ้มเธอไป ดีไหม? ”
เขาไม่ได้อุ้มเธอเป็นครั้งแรก สิ่งที่สนิทสนมมากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว แต่ว่าเย้นโม่หลินกำลังมองอยู่ตรงนี้ เธอก็พยักหน้า รู้สึกเก้อเขินนิดหน่อย
เย้นหว่านหน้าแดง กัดริมฝีปากของตัวเอง “รบกวนแล้ว”
“การดูแลเธอ คือความรับผิดชอบของฉันในตอนนี้”
โห้หลีเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าดึงดูดเหมือนแม่เหล็กที่มีเสน่ห์
เขาก้มตัว แล้วก็อุ้มเย้นหว่านขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย หันหลัง แล้วก็เดินไปยังโต๊ะเล็ก
เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา เย้นหว่านก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ได้กลิ่นลมหายใจที่เป็นของเขา ใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้น
เย้นโม่หลินมองดูลมหายใจที่คลุมเครือ,ครุมเครือไหลเวียนไปมา ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ
ขอแค่เย้นหว่านค่อยๆ ลืมโห้หลีเฉินไปซะ และมีใจเดียวให้กับกู้ซึง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย
น้องสาวมีชีวิตที่คงที่แล้ว เขาถึงจะวางใจได้
อาการแพ้นั้นทำให้เย้นหว่านป่วยหนัก เธอนอนอยู่บนเตียงหลายวัน ถึงจะเริ่มมีกำลังลงจากเตียงและเดินไปเดินมา
หลายวันนี้ เย้นหว่านก็มีความสุขกับการที่โห้หลีเฉินอยู่กับเธอตลอดเวลา
บางทีเธอก็รู้สึกขอบคุณอาการแพ้ในครั้งนี้ ที่ทำให้เธอสามารถอยู่กับโห้หลีเฉินได้อย่างเปิดเผย ถ้าเกิดว่ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ เธอก็ยอมที่จะป่วยทุกวัน
และการที่โห้หลีเฉินดูแลเย้นหว่านอย่างพิถีพิถันนั้น คู่สามีภรรยากงจืออวีก็มองอยู่ในสายตา
พวกเขารู้สึกพึงพอใจในตัวของกู้ซึงขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ เย้นหว่านเกือบจะหายดีแล้ว เริ่มมีชีวิตชีวา แล้วก็ลงมากินข้าวกับทุกคน
บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศกลมกลืนมาก
กงจืออวีรู้สึกถูกชะตากับโห้หลีเฉิน และความสัมพันธ์กับกู้จื่อเฟยนั้นก็สนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหกคน ยิ่งนับวันยิ่งเหมือนครอบครัวสุขสันต์ขึ้นเรื่อยๆ
เย้นหว่านชอบบรรยากาศแบบนี้มากๆ ความอยากอาหารก็ดีขึ้นด้วย เธอถือตะเกียบ แล้วก็คีบไก่เผ็ดของโปรดของเธอ
แต่ว่าตะเกียบของเธอยังไม่ทันจะคีบโดนไก่ ก็ถูกตะเกียบอีกคู่หนึ่งที่ยื่นมาจากอากาศห้ามไว้
เย้นหว่านมองเจ้าของตะเกียบอย่างมึนงง “พี่ นี่จะทำอะไร? ”
การเคลื่อนไหวของพวกเขา ดึงดูดสายตาของคนทั้งโต๊ะอาหาร