บทที่480 เขาจะไปหรือไม่กันแน่
“ทำไมล่ะ?”
เย้นหว่านเอ่ยอย่างงุนงง สำลีหยุดอยู่ตรงหน้ากู้ซึงเพียงสองสามเซนติเมตร
เย้นโม่หลินมองทั้งสองคน แล้วจึงเอ่ยเบา ๆ “นี่คือK5”
พูดจบ เห็นเย้นหว่านยังคงงงงวยอยู่ เย้นโม่หลินจึงอธิบายด้วยความหวังดี “น้ำยาล้างแผลศพ เมื่อสัมผัสผิว ก็จะละลายทันที”
เย้นหว่านตกใจจนมือสั่น
กู้ซึงหน้าถอดสี มองสำลีสั่น ๆ ที่เกือบจะสัมผัสกับผิวหน้าของเขา ก่อนรีบถดตัวไปด้านหลังอย่างเร่งด่วน
เขาพูดอย่างสยองขวัญ “เธอถือดี ๆ หน่อย!”
ถ้าโดนเขา ได้เสียโฉมร้อยเปอร์เซ็นต์
น่าหวาดเสียวเกินไปแล้ว
เย้นหว่านจึงรีบชักสำลีในมือกลับมา ก่อนพลิกมือโยนทิ้งลงถังขยะ
แล้วมองขวดยาที่ถืออยู่ในมือ มุมปากกระตุก
เกือบไปแล้ว
เธอกระแอมอย่างเก้อ ๆ “หยิบผิดแล้ว ฉันหาไอโอดีน”
เธอรีบเดินไปหาใหม่ที่ตู้ยาทันที
กู้ซึงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าดูไม่ได้ ในใจก่นด่าอย่างดุเดือด สงสัยมากว่าขั้นตอนแรกคือการใช้ไอโอดีนจริง ๆ งั้นเหรอ?
เขาเริ่มเสียใจที่อยากให้เย้นหว่านช่วยเขาทำแผลขึ้นมาทันที
แต่ว่าคำพูดหวานเลี่ยนก็พูดออกไปแล้ว จะคืนคำตอนนี้ ต่อหน้าเย้นโม่หลินไม่ได้เด็ดขาด
กู้ซึงกลัดกลุ้มแทบตายอยู่แล้ว
เย้นหว่านเองก็ฝืนใจขึ้นไปบนชั้นวาง ถึงไม่รู้เรื่องก็ทำได้แค่พึ่งพาความทรงจำที่โห้หลีเฉินเคยทำแผลให้เธอแล้วทำให้กู้ซึงเท่านั้น
เธอหยิบไอโอดีนออกมา หลังจากยืนยันซ้ำ ๆ แล้ว ถึงได้จุ่มสำลีใหม่แล้วทาลงบนหน้าของเขา
เมื่อสำลีกำลังจะสัมผัสใบหน้าของกู้ซึง เขาก็คว้าข้อมือของเย้นหว่านเอาไว้
กู้ซึงสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบามาก “เสี่ยวหว่าน เธอแน่ใจนะว่าอันนี้ถูกแล้ว? ถาม….พี่ชายเธอหน่อยมั้ย?”
นี่คือใบหน้าของเขานะ ต้องระวัง ถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็เสียโฉมพอดี
มุมปากของเย้นหว่านกระตุกเล็กน้อย แกะมือของกู้ซึงออก
“อันนี้ถูกแล้ว”
พูดดังนั้น เธอก็แปะสำลีลงบนหน้าของเขา
กู้ซึงทั้งหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย กัดฟันมองเย้นหว่าน ยังคงระงับความตื่นตระหนกเอาไว้
ในใจคิดเช่านั้น ถ้าหากหน้าถูกเย้นหว่านทำจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาจะ….จะให้โห้หลีเฉินรับผิดชอบ!
เย้นโม่หลินนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสบายใจ แต่สายตากลับมองไปที่ทั้งสองเป็นครั้งคราว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สังเกตอย่างเต็มที่
ไม่รู้ว่าทำไม ถึงเอาแต่รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้ ดูอึกดอัดยังไง ๆ ราวกับว่าไม่ได้เต็มใจนัก ยิ่งไม่มีบรรยากาศหวานแหววเลยแม้แต่น้อย
แต่ระหว่างพวกเขาไม่ใช่ความรู้สึกดี ๆ หรอกเหรอ?
เย้นโม่หลินครุ่นคิดในใจ แต่เขาก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม
หลังจากทำตามขั้นตอนในความทรงจำอย่างยากลำบาก บวกกับความช่วยเหลือของเย้นโม่หลิน ในที่สุดเย้นหว่านก็ทำแผลบนหน้ากู้ซึงไปได้อย่างไม่ชำนาญ
หลังจากทำเสร็จ เย้นหว่านก็ปิดกล่องยาแล้วลุกขึ้นทันที
“เสร็จแล้ว”
งั้นเธอก็ไปก่อนล่ะ
เย้นหว่านรีบร้อนวางกล่องยาแล้วเตรียมจะเดินไป ในตอนนั้นเอง กลับเห็นเย้นโม่หลินลุกขึ้นมาเช่นกัน
เขาเดินไปทางประตูด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นก็เอ่ย “ไปเถอะ ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”
“ถึงเวลาอาหารเย็นเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
เย้นหว่านตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ ในใจมีความไม่เต็มใจอยู่เต็มร้อย
เธอไม่อยากกินข้าวเย็น ต้องการแค่ไปหาโห้หลีเฉินที่สวนดอกไม้เท่านั้น
กู้ซึงถือกระจกบานเล็กในมือส่องครึ่งหน้าของเขาดูแล้วดูอีก หลังจากแน่ใจแล้วว่ายังไม่ได้เสียโฉม ก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างร่าเริง
“ไปเถอะ กินข้าวเย็นกัน”
เย้นหว่านมองเขาด้วยความตะลึง สีหน้าปฏิเสธ
เธอกัดฟัน เอ่ยเสียงเบา “นายก็อยากไปเหรอ?”
กู้ซึงเชิดคางเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มขี้เล่น เพียงแต่ครึ่งหน้าเขาบวมขึ้นนิดหน่อย ดูเหมือนได้ผลกระทบเล็กน้อย
“เผอิญว่าฉันก็หิวแล้ว”
เย้นหว่าน “……”
ตอนที่กินอาหารเย็นโห้หลีเฉินก็ไปแล้ว ทำไมกู้ซึงต้องมายุ่มย่ามด้วย? ถ้าหิวก็ออกไปหาเนื้อหาปลากินข้างนอกหลังจากไปแล้วก็ได้นี่!
เย้นหว่านกลัดกลุ้มอย่างมาก เย้นโม่หลินยืนอยู่ที่ประตูก็เร่งรัดอย่างทนรอไม่ไหวแล้ว
“เป็นอะไรไป? รีบไปเถอะ พ่อแม่คงจะถึงกันแล้ว”
ที่ตระกูลเย้น หนึ่งวันสามมื้อนั้นตรงเวลา
เย้นหว่านจนปัญญา ตอนนี้เธอตะลึงที่แม้แต่โอกาสจะแอบย่องไปก็ไม่มี จะให้กู้ซึงเปลี่ยนตัวกับโห้หลีเฉินกลับมา ก็ไม่ทันแล้ว
หมดหนทาง เย้นหว่านได้แต่ตามไปยังห้องอาหาร
บนโต้ะอาหารยังคงมีหกคนอย่างเคย คุณพ่อกับคุณแม่ เย้นโม่หลินกับกู้จื่อเฟย เย้นหว่านกับกู้ซึง
เพียงแต่กู้ซึงคนนี้ ไม่ใช่กู้ซึงคนนั้น
ใจของเย้นหว่านกำลังคำถึงโห้หลีเฉิน ไม่รู้ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ ซ่อนอยู่ที่ไหน ยังไม่กินข้าวจะหิวเหมือนกันรึเปล่า
จิตใจสับสน ยุ่งเหยิง
กินข้าวก็ไม่ได้อยากอาหารเลย
อย่างไรก็ตามกู้ซึงที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ได้เปลี่ยนอารมณ์ของเขาไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูเหมือนกับโห้หลีเฉินในเวลาปกติ แทบจะไม่พบความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย
สง่างาม เลอค่า อ่อนโยน
กระทั่งอาหารโปรดของเย้นหว่านก็ยังรู้ ราวกับได้ทำมาแล้วหลายครั้ง คีบอาหารให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังไม่ให้เธอกินเผ็ดอีกด้วย
“รออีกไม่กี่วันถึงจะกินเผ็ดได้ คนเก่ง อดทนไว้ก่อนนะ”
กู้ซึงเอ่ยอย่างอ่อนโยน แล้ววางเนื้อตุ๋นลงในชามของเย้นหว่าน
ท่าทางน้ำเสียงนี้ เย้นหว่านที่มองตกตะลึงไปชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่าเธอจะสับสนไปชั่วขณะว่าที่นั่งอยู่ตรงหน้านั้นคือโห้หลีเฉินหรือกู้ซึงกันแน่
ใบหน้าเหมือนกันทุกประการ แม้แต่น้ำเสียงท่าทางก็ปลอมได้สิบเต็มสิบ
เย้นหว่านกลับขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ตลอด เธอขยับเข้าไปใกล้กู้ซึง พูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน
“ทำไมนายถึงศึกษากระทั่งนิสัยตอนกินข้าวด้วย? โห้หลีเฉินสอนให้นายเหรอ?”
“แน่นอน ฉันใช้เวลาศึกษาไม่น้อยเลยล่ะ”
กู้ซึงเชิดคาง ยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “ฉันทำเพื่อเธอขนาดนี้ ประทับใจมากล่ะสิ?”
เย้นหว่านเม้มปาก เธอไม่เพียงแต่ไม่ประทับใจ นอกจากนี้ยังสับสน กระวนกระวาย
เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่แค่ไม่กี่ชั่วโมงจะทำได้ ดูเหมือนโห้หลีเฉินจะเตรียมการเอาไว้นานแล้ว เพื่อให้กู้ซึงมาแทนที่เขา
ถ้าอย่างงั้น ที่กู้ซึงปรากฏตัว ไม่ใช่แค่เพียงรับมือกับเรื่องการตรวจสอบใบหน้า?
หรือว่า เขาจะอยู่ที่นี่อีกนาน แทนโห้หลีเฉินงั้นเหรอ?
แค่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ มือเท้าของเย้นหว่านก็เริ่มเย็นเฉียบ ในใจตื่นตระหนก ทั้งตัวอยู่ไม่สุข
เธอไม่อยากจะอยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็นกับกู้ซึงคนนี้
นอกจากนี้ ทั้งยังไม่รู้ทิศทางที่โห้หลีเฉินจะไป กลัวจะตามหาเขาไม่เจอแล้ว
เย้นหว่านกัดฟัน เอ่ยเสียงเบา “นายวางแผนจะไปเมื่อไหร่?”
กู้ซึง “…..”
เขามองเย้นหว่านด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม พูดอะไรไม่ออก
อาหารก็ยังกินไม่เสร็จเลย ก็จะให้เขาไปแล้วเหรอ? จะไม่มีมารยาทพื้นฐานของเจ้าบ้านหน่อยเลยรึไง
ทันใดนั้นกู้ซึงก็รู้สึกว่าความอยากอาหารของเขาหดหายไป ดังนั้น เขาก็แค่หันหน้ากลับ แล้วคีบเนื้อชิ้นโตเข้าปากต่อโดยไม่สนใจเย้นหว่าน
เย้นหว่านมองชายหนุ่มที่กินอาหารอย่างสง่างามตรงหน้า ท่วงท่าที่คุ้นเคย นิสัยเฉพาะตัวนั้น กลับไม่คุ้นเคยแปลกประหลาดอย่างที่สุด
เขาไม่ใช่โห้หลีเฉิน
ว่าแต่ความหมายของเขา คือจะไปหรือไม่ไปกันแน่ล่ะ?