บทที่515 หยอกล้อ
ระหว่างทางเธอคิดไปคิดมาอย่างสุดสมอง คิดจะเกลี้ยกล่อมกงจืออวีและเย้นเจิ้นจื๋อ ให้พวกเขาเห็นด้วย
แต่เย้นหว่านคิดไม่ถึง
เมื่อกงจืออวีได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของกงจืออวีก็คือการดึงเย้นหว่านเข้ามาด้วยความกังวล มองข้างซ้ายทีขวาที
“เสี่ยวหว่าน ลูกตกใจหรือเปล่า? มีใครเห็นอะไรไหม? ”
ระหว่างที่พูด แววตาของกงจืออวีก็ฉายแววโหดเหี้ยมและน่ากลัว “ถ้ามีใครเห็นเข้า ฉันจะควักลูกตาเขาออกมา”
คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหก เธอจะทำมันจริงๆ
เย้นหว่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีความกลัวเลยสักนิด มีเพียงความอบอุ่นที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจเท่านั้น
กงจืออวีเป็นอย่างนี้อยู่เสมอ จะปกป้องเธอโดยไม่มีเงื่อนไข มองเธอเป็นสิ่งสำคัญไร้สิ่งใดเทียบ
แม้แต่เรื่องใหญ่โตระหว่างตระกูลเย้นและตระกูลหยูก็ตาม…
ตาของเย้นหว่านแดงระเรื่อ ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อย
ถ้าเป็นไปได้ จริงๆเธอไม่อยากจะโกหกกงจืออวี
เย้นหว่านส่ายหน้า “ไม่มีใครเห็นอะไรค่ะ หนูไม่เป็นไร แค่ตอนนั้นแปลกใจมาก แล้วก็ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“หยูซือห้านเจ้าสารเลว ทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้ โชคดีที่ลูกไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นแม่คงต้องฆ่าเขาซะ”
“ถึงไม่มีอะไรก็ปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะโทรหาหยูฉู่สอง ให้เขาอธิบายให้ฉันฟัง!”
เย้นเจิ้นจื๋อสบถอย่างโกรธเกรี้ยว สีหน้าดุดันรุนแรงอย่างมาก
องค์หญิงผู้เป็นที่รักแห่งตระกูลเย้นของเขา ถูกคนคุกคามขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าแค่พูดไม่กี่คำแล้วจะปล่อยผ่านไปได้
เย้นหว่านมองพ่อแม่ของตนด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของพวกท่านจะเป็นเช่นนี้
นอกจากจะไล่หยูซือห้านออกจากตระกูลเย้นแล้ว ยังคิดจะไปหาตระกูลหยูเพื่อขอคำอธิบายอีกหรือ?
เมื่อถูกหัวหน้าตระกูลเย้นมาถามด้วยตนเอง หยูซือห้านก็กลับไปแล้ว แต่น่าเวทนา
เย้นหว่านรู้สึกดีในใจ แต่ก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำแบบนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเรากับตระกูลหยูไหมคะ? มันจะไม่ดีถ้าเกิดเสียผลประโยชน์ หนูไม่เป็นไรแล้ว ”
“ลูกไม่ต้องเป็นห่วง ตระกูลเย้นของพวกเรามีอาชีพการงานใหญ่โต ลูกไม่ต้องทนกับความขุ่นเคืองใจนี้หรอก”
เย้นเจิ้นจื๋อกล่าวอย่างดุดัน ท่าทางดุร้ายราวกับอยากจะถลกหนังของหยูซือห้านออกมา
ในใจของเย้นหว่านรู้สึกวูบวาบ
นี่คือพ่อแม่แท้ๆที่ให้กำเนิดเธอมา ทุกอย่างที่เขาทำ ก็เพื่อปกป้องและดูแลเธอด้วยใจจริง
เย้นหว่านคุยกับพ่อแม่อีกหน่อย กงจืออวีรู้ว่าเธอก็เหนื่อยแล้ว ก็เลยให้เย้นหว่านกลับไปนอนเร็วหน่อย
ด้วยความยินยอมของพ่อแม่ เรื่องหยูซือห้านก็นับว่าประสบผลสำเร็จแล้ว หินก้อนใหญ่ในใจของเย้นหว่านก็ถูกวางลง
แต่พอเงยหน้ามองลานบ้านของตัวเอง สีหน้ากลับมืดแล้วมืดอีกอย่างควบคุมไม่ได้
เหม่อไปครู่หนึ่ง
ตอนที่เธอเดิน ในห้องนี้ยังมีคนที่เธอคิดถึงอยู่ แต่ตอนนี้กลับไปแล้ว เขาควรจะไม่อยู่แล้ว
กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ไม่มีเขาแล้ว
เมื่อโห้หลีเฉินจากไป ก็ราวกับเอาวิญญาณของเย้นหว่านไปด้วย รู้สึกว่าทั้งลานบ้านว่างเปล่า
เธอดูท่าทางหดหู่ เดินเข้าไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
เมื่อเข้าไปในห้องโถง เธอก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ข้างบาร์เหล้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
เขาดูเหมือนจะทำอะไรสักอย่างอยู่ พอเห็นเธอมา ก็หยุดการกระทำนั้น
เย้นหว่านกวาดสายตามองร่างของเขา สุดท้ายก็หยุดที่มือที่พันผ้ากอซสีขาวของเขา หัวใจของเธอเต้นผิดไปจังหวะหนึ่ง
โห้หลีเฉินได้รับบาดเจ็บถึงจะพันผ้าพันแผล
“นายยังไม่ไปอีกหรอ?”
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และเดินตรงไปหาเขา
กู้ซึงเอนตัวพิงบาร์อย่างสบายๆ มุมปากยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“เจอฉันแล้วดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ? เสี่ยวหว่าน มาให้กอดทีหนึ่งมา ”
ขณะที่พูด เขาก็อ้าแขนจะกอดเธอ
ฝีเท้าของเย้นหว่านหยุดชะงักอย่างแรง
โห้หลีเฉินไม่ได้เหลาะแหละขนาดนี้ อีกอย่างมือของเขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ ทำให้กระดูกของเขาไม่สามารถยกได้สูงขนาดนี้
คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่โห้หลีเฉิน เป็นกู้ซึงตัวจริง
แสงในดวงตาของเย้นหว่านหม่นหมองลงทันที พูดอย่างไม่พอใจว่า
“ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะอยู่ในห้องอีก นายจะพันผ้าพันแผลไปทำไม? ยังไงก็ไม่มีใครเห็น”
ไม่งั้นเธอก็คงไม่เข้าใจผิด และได้มีความสุขไปแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆที่ยุบลงทันที มุมปากของกู้ซึงก็กระตุก สีหน้าไม่สบอารมณ์
“แย่จังเลย ทำให้เธอผิดหวังซะแล้ว หลังจากนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ต่ออีกนาน”
เขาไม่พอใจ ก็เลยต้องทำให้เย้นหว่านไม่มีความสุขไปด้วย จิตใจถึงจะสมดุล
“นานมากเลยหรอ?”
เย้นหว่านอึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจก็จมดิ่งลงอีกครั้ง
นั่นหมายความว่า ครั้งนี้โห้หลีเฉินจะไม่กลับมาอีกนาน
เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอเงยหน้าขึ้น มองรอยยิ้มที่กู้ซึงหยอกล้อ และรีบตอบกลับทันที
เจ้าสารเลวนี่ เกรงว่าจะไม่รู้อะไรเอาซะเลย แล้วยังจงใจโกหกเธออีก
“ฉันติดต่อโห้หลีเฉินได้น่ะ ครั้งนี้ไม่ต้องขอให้นายบอกฉันหรอก”
เย้นหว่านกล่าวอย่างหยิ่งยโส
ครั้งก่อนเธอไม่รู้ข่าวอะไรเลย ถึงได้ถูกจำกัดอยู่ทุกทาง ต้องขอให้กู้ซึงบอกเธอ กู้ซึงจึงไม่ได้ใช้เรื่องนี้ทำให้เธอติดกับ
กู้ซึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และผิดหวังนิดๆ
อย่างนี้ ความสุขในการล้อเลียนเย้นหว่านของเขาก็หายไปแล้ว ดูเหมือนว่าสถานะที่เขาเข้ามารับเอง จะเริ่มเศร้าขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
แต่ยังไงก็ตาม เขาเป็นคนที่ใช้ประโยชน์จากทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
เขาเอนกายพิงอย่างเกียจคร้าน ชี้ไปยังบาร์เหล้าข้างๆ แล้วพูดกับเย้นหว่านเหมือนกันเป็นเรื่องปกติว่า
“ชงกาแฟให้ฉันสักถ้วย ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล”
เย้นหว่านมองกู้ซึงด้วยความประหลาดใจ
เม้มริมฝีปากและกล่าวว่า “นายชงเองสิ”
เธอเห็นแล้ว ว่าเมล็ดกาแฟบนบาร์ถูกเปิดไว้อยู่แล้ว ผ้ากับน้ำก็วางไว้แล้ว ก่อนที่เธอจะมา กู้ซึงตั้งใจจะชงกาแฟเองอยู่แล้ว
ตอนนี้เธอมาแล้ว เลยทิ้งงานที่ทำค้างไว้มาให้เธอ?
เห็นได้ชัดว่าจงใจโยนให้เธอ
เย้นหว่านรีบยกขาขึ้นเดินตรงไปยังห้องของตัวเอง “นายค่อยๆทำไปนะ ฉันจะไปนอนแล้ว อ๋อใช่ ดื่มกาแฟแล้วจะนอนไม่หลับ พรุ่งนี้นายต้องตื่นแต่เช้าหนิ”
กู้ซึงยังคงเอนตัวพิงบาร์อย่างเกียจคร้าน เขายกมือที่พันผ้าพันแผลขึ้นมามอง
พูดอย่าทะเล้นๆว่า “โอ้ผ้ากอซนี้ ได้หามืออาชีพมาทำแผลปลอมให้เลยนะ ถึงจะให้คนเป็นหมอมาดู ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ว่าเป็นของปลอม กับที่พวกเราพันกันเอง ต่างกันคนละโลกเลยนะเนี่ย
แต่เสียอย่างเดียว มันโดนน้ำไม่ได้~”
ฝีเท้าของเย้นหว่านแข็งทื่อไปทันที
มุมปากของเธอกระตุก เธอตะลึง หันกลับไปมองผ้าพันแผลในมือกู้ซึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จริงหรือหลอก?”
“ต้องจริงอยู่แล้วสิ”
กู้ซึงมีสีหน้ามั่นใจ
เย้นหว่านขมวดคิ้ว “แล้วนายอาบน้ำยังไง”
ที่พันกันอยู่นี้น่าจะอยู่มาประมาณ 2-3 วันแล้ว หรือว่ากู้ซึงไม่อาบน้ำแล้ว?
สีหน้าของกู้ซึงฉายแววไม่สบอารมณ์ เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและละเอียดอ่อนจริงๆ
เขาพูดไปทื่อๆว่า “ตอนฉันอาบก็หลบน้ำได้น่า”
“แล้วมันสะดวกหรอ แล้วอาบได้สะอาดหรอ? “
เย้นหว่านมองเขาด้วยความสงสัย
กู้ซึงเม้มปาก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากไม่สบอารมณ์เป็นรอยยิ้มที่ดูตลกอย่างรวดเร็ว
เขาหยอกล้ออย่างดูหมิ่นว่า “ถ้าเธอกังวลจริงๆ จะมาช่วยฉันอาบก็ได้นะ”