บทที่ 59 นอนด้วยกันอีกแล้ว
มู่จื่ออี้มองจากมุมเห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งโอบกอดและจูบหญิงสาวผู้น่ารักคนหนึ่ง ถึงจะมองไม่เห็นหน้าแต่กลับรู้สึกถึงความลุ่มหลงมัวเมา
น่าจะเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่รักกันมาก
มู่จื่ออี้ยืนคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เดินออกมา และรีบเดินต่อไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งผู้คนเดินจากไปสักพัก โห้หลีเฉินถึงผละออกจากริมฝีปากรสหวานของเย้นหว่าน
เขามองหน้าเธอ ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและรุ่มร้อนดั่งไฟ ราวกับว่ากำลังควบคุมอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเธอเป็นอิสระ เย้นหว่านกลับอ่อนแรงมาก เธอยึดเขาไว้จนยืนแทบไม่ไหว ทั้งยังรู้สึกตื่นตระหนกและสับสนอย่างมาก
เธออาจจะเมาหรือเปล่า? เธอเมาแน่ๆ ไม่งั้นจะยอมให้โห้หลีเฉินจูบอยู่นานขนาดนี้ได้อย่างไร
เมื่อได้สัมผัสร่างกายที่อ่อนนุ่มของหญิงสาวอย่างใกล้ชิด ในอกของเขาร้อนดั่งไฟเผาและยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันจะพาเธอไปที่ที่นึง”
น้ำเสียงทุ้มนั้นอันตรายมาก
เขายื่นมือไปพยุงเธอขึ้นมา ก้าวเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในลิฟต์
ตอนที่เดินออกมาจากตรงนั้น จู่ๆเย้นหว่านก็โอบกอดคอของโห้หลีเฉินอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมากขึ้น ราวกับว่าเธอกำลังจะจูบเขา
ในใจของเธอสับสนมากกว่าเดิม จึงรีบละสายตาหันไปทางอื่น
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ?”
“สถานที่ดีๆ”
โห้หลีเฉินเม้มปากแน่น และมุมปากของเขาดูเหมือนจะโค้งเล็กน้อย
ระยะประชิดขนาดนี้ ถูกเย้นหว่านจับได้แล้ว
ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ และจนตอนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนยิ้มดูดี และมีเสน่ห์ขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นโห้หลีเฉินยิ้ม
จริงๆแล้วผู้ชายหน้าตายก็ยิ้มเป็นนี่นา
เย้นหว่านหัวใจเต้นเร็วมาก ในหัวมีแต่ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า จนลืมจุดประสงค์ว่าเธอต้องกลับห้องตัวเอง
โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านออกมายังดาดฟ้าของโรงแรม
พอขึ้นมาข้างบน สายลมเย็นเอื่อยก็พัดมาทำให้เย้นหว่านรู้สึกผ่อนคลายมาก
และทั้งดาดฟ้า ยังไม่มีการตกแต่งทางธุรกิจ แต่มันกลับได้รับการตกแต่งและจัดวางใหม่ ทุกหนแห่งมีการปลูกดอกไม้และพืชนานาพันธุ์ เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เลวเลย
กลางสวนดอกไม้มีเก้าอี้ขนาดใหญ่วางอยู่
ร่างกายของเย้นหว่านอ่อนแรง ทิ้งตัวอ่อนลงบนม้านั่งตัวใหญ่เหมือนกับโคลน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและวิวรอบตัว
พูดได้ว่ามันทำให้สบายใจขึ้นมาก
ในขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลิน เธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อมองเห็นว่า โห้หลีเฉินนั่งลงบนม้านั่งข้างๆเธอ
ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของเขานั่งลงมันทำให้ม้านั่งตัวนี้แคบลงมาก
ระยะห่างระหว่างพวกเขาใกล้ชิดกันโดยไม่มีอะไรมากั้น จนตัวแทบจะติดกัน
เย้นหว่านรีบนั่งตัวตรง เธอตกใจนิดหน่อย “คุณโห้?” ทำไมคุณมานั่งตรงนี้?
ในขณะที่เย้นหว่านนั่งตัวตรง เขากลับนั่งพิงหลังอย่างสบายและเป็นธรรมชาติบนม้านั่ง
เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาทั่วไป “ที่นี่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น”
เย้นหว่านไม่เชื่อ จึงมองไปรอบๆ ก็เห็นม้านั่งเพียงตัวเดียวอย่างที่เขาพูด
เธอลังเลใจจึงตัดสินใจพูดว่า “ถ้างั้นฉันให้คุณนั่งค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับยืนขึ้น แต่ในทันใดก็มีมือหนึ่งดึงเธอนั่งลง
เธอจึงนั่งลงและทิ้งตัวของเธอตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาในทันที
ในความรู้สึกนี้สมแล้วที่เป็นร่างกายแข็งแรงกำยำของชายหนุ่ม อ้อมแขนที่อบอุ่น ลมหายใจที่ทำให้คนลุ่มหลง
เย้นหว่านทั้งตัวแข็งทื่อและพยายามดิ้น “คุณโห้ คุณจะทำอะไรคะ”
“ก็มีเก้าอี้แค่ตัวเดียว งั้นเราก็นั่งด้วยกันสิ”
โห้หลีเฉินเอนกายพิงบนม้านั่งตัวใหญ่ โอบกอด เย้นหว่านอย่างสบาย นัยน์ตาของเขาร้อนรุ่มดั่งไฟ แต่กลับพูดด้วยความสุภาพ
มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ทุกคนต้องนั่งด้วยกัน ไม่ใช่ว่าจะนั่งไม่ได้ แต่ว่า……
ชายโสดหญิงโสด มานั่งกอดกันอย่างนี้มันสมควรเหรอ?
ในหัวของเธอรู้สึกสับสน “คุณโห้……”
“เธอมองท้องฟ้านั่นสิ”
โห้หลีเฉินเอ่ยกระซิบ และเปลี่ยนเรื่องไปโดยสิ้นเชิง
เย้นหว่านมองท้องฟ้าด้วยความสงสัย แล้วก็รู้สึกประหลาดใจที่มีดาวดวงเล็กระยิบระยับเต็มท้องฟ้าราวกับเพชรเม็ดงามประดับประดาอยู่บนผืนผ้าสีดำ
มันสวยมากเลย
เมืองเฉิงหนานเป็นเมืองใหญ่ อากาศที่นี่จึงไม่ค่อยดีนัก โดยปกติมักจะมองไม่เห็นวิวท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวแบบนี้ ดังนั้นมันจึงดึงดูดความสนใจของเย้นหว่านในทันที
“สวยมาก…..”
เธอถอนหายใจอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะเธอมองไปที่ท้องฟ้ากว้าง แต่โห้หลีเฉินกลับลอบมองใบหน้าเล็กนั้น แล้วเอ่ยเสียงเบา “อืม”
ลมเย็นพัดผ่านกาย สดชื่นและเย็นสบายนอกจากนี้ยังทำให้สมองโล่งปลอดโปร่งขึ้นมา
เมื่อสติของเย้นหว่านกลับมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน ลักษณะท่าทางคลุมเครือเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
หน้าของเธอก็เห่อร้อนขึ้นมา หัวใจเต้นแรง และตอนนี้ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว
ความรู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด เธอหน้าอายแดงก่ำ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้และพิงเขาต่อไป
ยังไงซะวันนี้เธอก็ดื่มไปเยอะมาก อย่างมากก็แค่เมาจนต้องเอนกายซบลงบนตัวเขา
โห้หลีเฉินสงสัยเย้นหว่านมาโดยตลอด เมื่อดูการแสดงออกที่หลากหลายของเธอ ก็แทบจะเดาถึงสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจได้
แต่เขาไม่ได้เปิดเผยออกมา เขายกยิ้มมุมปากกว้างกว่าเดิม
ผู้หญิงคนนี้ทำไมยิ่งมองยิ่งสบายตานะ
กระพริบตาช้าๆมองดวงดาวบนท้องฟ้า จู่ๆเย้นหว่านก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ถ้าหากว่าเดือนนี้ผ่านไปช้าๆและช้าลงเรื่อยๆ
เย้นหว่านไม่รู้ตัวว่าเธอเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน เมื่อลืมตาขึ้นมามองเห็นเพดานสีขาว และ——
ข้างๆกายเธอมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่!
เขานอนหลับตา ขนตาหนายาวปิดดวงตาบดบังความสูงส่ง มันทำให้เขาดูเงียบสงบ และเหมือนผู้ชายธรรมดาๆที่ดันหล่อมากๆแค่นั้นเอง
เย้นหว่านเผลอมองเขา ถ้าหากว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาจริงๆบางทีเธออาจจะมีความกล้าเข้าหาเขา
แต่ว่า……
ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเรื่องของเขาทั้งสองคนมันเป็นไปไม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงได้มานอนบนเตียงเดียวกันอีกครั้ง!
เย้นหว่านแทบจะเป็นบ้าแล้ว
เธอจึงรีบย่องลงจากเตียงนอนเบาๆ รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา
ทันทีที่ประตูปิดลง ดวงตาที่ปิดสนิทของโห้หลีเฉินค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
เขามองไปยังประตู กระพริบตาเปล่งประกายแล้วยิ้มและหัวเราะออกมา
เย้นหว่านรีบเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป แต่หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงไม่หยุด ในหัวมีแต่ภาพเมื่อคืนและเมื่อเช้า
ระหว่างเธอและโห้หลีเฉินเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนใช่ไหม?
เมื่อกลับมาถึงห้องที่เงียบสงบ อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เริ่มมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา ไม่คิดว่าจะเห็นสายที่ไม่ได้รับหลายสิบสาย ส่วนใหญ่เป็นมู่จื่ออี้ที่โทรมา แล้วก็ยังมีเบอร์แปลกอีกสองสามสาย
ตอนอยู่ในงานเลี้ยงฉลองเธอปิดเสียงแจ้งเตือนเอาไว้ เมื่อคืนทั้งคืนเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
พอมาคิดดูแล้วมู่จื่ออี้ต้องเป็นห่วงที่เธอหายไปเมื่อคืนแน่ๆ เธอจึงรีบโทรกลับหาเขา
ทันทีที่รับโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงร้อนใจและเป็นกังวลของมู่จื่ออี้จากปลายสาย
“เย้นหว่าน คุณเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อคืนทั้งคืนผมตามหาคุณไม่เจอ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
เย้นหว่านกำลังคิดหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไมเธอหายไปเมื่อคืนนี้ แต่มู่จื่ออี้ก็รีบตัดบทเธอ
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน ผมจะไปหาคุณ”
“ฉันอยู่ในห้องของโรงแรมค่ะ”
เมื่อวางสายผ่านไปไม่กี่นาที เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
เย้นหว่านจำใจยิ้ม เมื่อมู่จื่ออี้มาเร็วมากจริงๆ
เธอเดินไปเปิดประตู “เข้ามาสิ….”
พูดยังไม่ทันจบ จู่ๆมู่จื่ออี้ก็รีบเดินมาหาเธอ และดึงเธอเข้าไปกอดไว้แน่น