แต่สิ่งที่ในใจเขาพุ่งขึ้นมาดันไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความลนลาน เขาแทบจะไม่คิดก็วิ่งตามไปเลย
รูปร่างสูงใหญ่ของเขายืนอยู่ที่หน้าประตู ขวางทางไปของกู้จื่อเฟยไว้อย่างสิ้นเชิง
กู้จื่อเฟยรีบหยุดลงมา ถอยหลังไปสองก้าว เว้นระยะห่างกับเขาช่วงหนึ่ง
เธอเงยหน้าเล็กน้อย มองเขาด้วยความข้องใจ “นี่พี่ทำอะไรคะ?”
มองหน้าตาตีตัวออกห่างของกู้จื่อเฟย ในใจของเย้นโม่หลินมีความไม่คุ้นชินโผล่ขึ้นมา
แต่มองเธอที่รวบหางม้าไว้ ภาระอันหนักหน่วงในใจเขากลับวางลงอย่างผ่อนคลายแล้ว
ยังดีที่เธอไม่ได้เสียใจจนบวช
เย้นโม่หลินเม้มปาก และพูดเสียงเบา
“ผมมาพาคุณกลับ”
กู้จื่อเฟยได้ยินคำนี้แล้วประหลาดใจสุดขีด
แววตาของเธอระยิบระยับอย่างห้ามไม่อยู่ สุดท้าย กลับเปลี่ยนเป็นมืดมนไร้แสง เธอก้มหน้าเงียบๆและพูดว่า “ฉันอยู่ที่นี่ก็สบายดีค่ะ ทุกวันคอยคุกเข่าสวดมนต์ สำนึกบาปของฉัน อารมณ์ของฉันถึงจะสงบลงมาได้บ้าง พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดและละอายใจอะไรหรอกค่ะ ยิ่งไม่ต้องฝืนใจตัวเองมาสนใจฉันด้วย”
เขาเคยบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าเธออีก เธอก็จะไม่โผล่หน้าไปให้เขาเห็นและแหย่ให้เขาสะอิดสะเอียนอีก
คอยคุกเข่าสวดมนต์ทุกวัน สำนึกบาปที่เคยทำ
เย้นโม่หลินมองเธออย่างอึ้ง ในใจราวกับถูกก้อนหินใหญ่ทับเอาไว้ แม้แต่หายใจก็กลายมาเป็นหนักหน่วง
ไม่ได้เจอกันแค่ช่วงหนึ่ง กู้จื่อเฟยผอมลงไปเยอะเลย ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้ายังซีดเซียว ดูไม่มีเลือดฝาด ใต้ตายิ่งแล้วใหญ่มีรอยดำคล้ำ
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าช่วงนี้เธอใช้ชีวิตทนทุกข์มากแค่ไหน
ร่างกายคุกเข่าสวดมนต์อยู่ แต่ในใจรู้สึกเจ็บและละอายอย่างไม่ขาดสาย
ทุกวัน เหมือนใช้ชีวิตอยู่นรกบนดินยังไงอย่างงั้น
ทำให้เธอที่เดิมทีร่าเริงสดใส ตอนนี้กลายมาเป็นมืดมนไร้แสง ขี้ขลาดและเงียบกริบ
เปลี่ยนจนไม่เหมือนเธอแล้ว
เย้นโม่หลินเม้มริมฝีปากบางไว้แน่น มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งพร้อมพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ผมมารับคุณ คือไป……ดูเย้นหว่าน”
กู้จื่อเฟยอึ้งค้างไว้
เธอเบิกตากว้าง พริบตาเดียวเบ้าตาก็แดงก่ำแล้ว น้ำตากลิ้งหมุนไปมา เธอพูดอย่างสะอึกสะอื้น “เสี่ยวหว่าน เธอ เธอ…..”
หาศพของเธอเจอแล้วเหรอ?
เธอทรมานจนแทบจะพูดคำพูดถัดมาไม่ออก
หลังจากๆไปในวันนั้น เธอเสียใจและเจ็บปวดใจมาก แต่ก็ยังพอรู้ข่าวอยู่บ้าง รู้ว่าเย้นโม่หลินเฝ้าอยู่ที่พื้นผิวทะเล ปิดทะเล วางยาพิษ ไม่หลับไม่นอนก็จะหาศพของเย้นหว่านกลับมาอย่างกับคนบ้า
เธอเดินเร่ร่อนอยู่ในตัวเมือง ทุกวันทุกคืนล้วนเฝ้าความเศร้าโศกไว้ เสียใจและคอยโทษตัวเอง
เธอเคยคิดว่า เธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว
ต่อมา เธอเดินมาถึงวัดแห่งนี้อย่างกับ
วิญญาณยังไงอย่างงั้น คอยมองคนที่คุกเข่าอยู่ด้านใน คอยฟังเสียงเคาะระฆัง ราวกับหาที่ที่เธอสามารถสร้างหลักปักฐานเจอ
ที่ที่เธอสามารถสำนึกผิด
ที่ที่สามารถใจกว้างในการให้อภัยความเจ็บปวดของเธอ
หลังจากวันนั้น เธอก็พักอยู่ที่นี่ คุกเข่าสวดมนต์ทุกวัน ทุกวันคอยใช้วิธีเดิมมาสำนึกผิด มามึนตัวเอง มาทำให้ประสาทที่เจ็บปวดของเธอชาลง
เธอนึกว่า เธอจะอยู่อย่างนี้นานแสนนาน
เธอนึกว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอยอมรับความจริงเรื่องที่เย้นหว่านตายได้แล้ว
แต่นาทีนี้ ได้ยินคำพูดของเย้นโม่หลิน เธอยังคงทรมานจนจะขาดใจอีกเช่นเคย และยอมรับไม่ได้ เธอกัดฟันไว้ และส่ายหัวสุดฤทธิ์ เสียงสะอึกสะอื้นจนไม่เหมือนคำพูด “ฉัน ฉันไม่ดู ฉันไม่…..” ไม่ดู
แข็งใจดูไม่ได้
เธอจินตนาการไม่ออกเวลาเผชิญหน้ากับศพที่ไม่เหลือเค้าโครงเดิมของเย้นหว่านแล้ว เธอจะพังทลายโดยตรงหรือเปล่า
เย้นโม่หลินพูดถูก เพราะเธอทั้งนั้น เพราะเธอคือเพื่อนรักของเย้นหว่าน ดังนั้นถึงได้ตามใจเธอพากู้ซึงมาที่ตระกูลเย้น ถึงได้มีศึกแย่งชิงระหว่างกู้ซึงกับหยูซือห้าน
ถึงมีการลักพาตัวอย่างบ้าคลั่งของหยูซือห้าน และพาทุกคนไปตายด้วยกัน
ทั้งหมดนี้ เริ่มจากการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและการหลอกลวงของเธอ เธอมีความผิด
เย้นโม่หลินเห็นหน้าตาที่ทุกข์ทรมานของกู้จื่อเฟย ใจสั่นอย่างแรงทีหนึ่ง
วันนั้น เขาถูกความเจ็บปวดที่สูญเสียเย้นหว่านทำเอาขาดสติ ถึงได้กล่าวโทษต่อว่ากู้จื่อเฟยแบบนั้น เอาความผิดทุกอย่างโทษมาที่ตัวเธอหมด และพูดคำพูดที่โหดแบบนั้นกับเธอ
ที่จริง เธอแค่ช่วยเหลือเย้นหว่าน เธอแค่พูดโกหก แต่คนที่ทำร้ายเย้นหว่านคือหยูซือห้าน
ตอนนี้ เขามองหน้าตาทุกข์ทรมานของกู้จื่อเฟยอีก ถึงสะดุ้งตื่นที่รู้ว่า ตอนที่เผชิญกับการเสียชีวิตของเย้นหว่าน กู้จื่อเฟยเจ็บปวดไม่น้อยกว่าเขาเลย
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเห็นว่ากู้จื่อเฟยก็เสียใจและเจ็บปวดใจขนาดนี้
ส่วนเขา เพราะความเจ็บปวดของเธอ หัวใจของเขาเหมือนถูกมือข้างหนึ่งบีบเอาไว้ หดตัวและบีบและทับอย่างไม่ขาดสาย ราวกับระเบิดได้ทุกเมื่อ
เขาแทบจะเดินหน้าไปก้าวหนึ่งและยื่นมือจับไหล่เธอไว้ด้วยสัญชาตญาณ พร้อมพูดเสียงสูง “เสี่ยวหว่านไม่ได้ตาย เธอยังมีชีวิตอยู่!”
กู้จื่อเฟยอึ้งค้างไว้ เบ้าตาที่แดงก่ำมองเย้นโม่หลินไว้อย่างประหลาดใจ
แววตาเธอระยิบระยับอย่างรุนแรง กัดริมฝีปากไว้แน่น แทบไม่อยากจะเชื่อเลย
เย้นโม่หลินเห็นแล้วสงสาร จึงได้รีบเปิดปากพูดอีก “เสี่ยวหว่านไม่ได้ตายจริงๆ เธอถูกหยูซือห้านแอบพาตัวไป”
เพราะฉะนั้น ตอนนั้นถึงหาเย้นหว่านไม่เจอสักที
กู้จื่อเฟยตื่นตะลึงและตื่นเต้นมาก เธอพูดอ้ำอึ้ง “แล้ว แล้วตอนนี้เธอ….ตอนนี้….”
เย้นโม่หลินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและมีความอดทน “เธอสบายดี ตอนนี้กำลังอยู่กับโห้หลีเฉินและรอคุณไปอยู่”
เสียงตื่นเต้นของกู้จื่อเฟยกำลังสั่นคลอน “โห้หลีเฉินก็ไม่เป็นไร?”
นี่เป็นข่าวที่ฟังแล้วตื่นเต้นที่สุด เหลือเชื่อที่สุด และเหมือนฝันที่สุดที่เธอได้ยินในช่วงนี้แน่นอน!
เย้นโม่หลินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ พวกเขาต่างก็ไม่เป็นไร!”
เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องสำนึกผิด และทรมานตัวเองอีก
ได้ยินคำตอบที่แน่ชัดของเย้นโม่หลิน น้ำตาที่ก่อตัวอยู่ในเบ้าตาของกู้จื่อเฟยก็ได้ไหล“พราก”ลงมา
เธอเอามือปิดหน้าไว้และส่งเสียงร้องไห้ออกมา
เสียงดังสนั่น ร้องไห้จนแทบจะขาดใจ เหมือนอย่างกับเด็ก
เย้นโม่หลินมองเธออย่างอึ้ง พริบตาเดียวก็เอ๋อไปทั้งคน
ทำไมกู้จื่อเฟยรู้ข่าวว่าเย้นหว่านยังมีชีวิตอยู่ กลับร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิมอีก?
ให้ตายสิ
นี่จะทำยังไงดี?
เย้นโม่หลินกดไหล่เธอไว้อย่างมือไม้ทำอะไรไม่ถูก พูดปลอบโยนอย่างลนลาน “ไม่เป็นไรแล้ว คุณอย่าร้องสิ ไม่เป็นไรแล้ว…..ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พวกเขาสบายดี….หยูซือห้าน หยูซือห้านก็ถูกผมจับตัวไว้ กำลังทรมานมันอย่างหนักอยู่……”
ยิ่งพูด กู้จื่อเฟยก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนักกว่าเดิมอีก
เธอเอามือกุมหน้าไว้ ร้องไห้จนไหล่สั่นคลอน ยิ่งร้องยิ่งหนัก ราวกับหยุดลงมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เย้นโม่หลินสีหน้ามึนตึ๊บ รู้สึกไม่ดีไปทั้งคน
เขามองเธอร้องไห้เป็นแบบนี้ เหมือนในใจไฟไหม้ เผาจนเขาตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
เสียงของเขาเปลี่ยนมาอ่อนโยนอย่างควบคุมไม่ได้ ยังมีรสชาติของการง้อและเอ็นดู
“ไม่ต้องร้องแล้วนะ ไม่ต้องร้องแล้ว…….”
ต้วนอานยืนอยู่ที่เดิม มองคุณชายตัวเองด้วยสีหน้าดูถูก
เขาอยากไปเตือนคนบางคนที่อีคิวต่ำจริงๆ เห็นได้ชัดว่ากู้จื่อเฟยร้องไห้เพราะดีอกดีใจ ร้องไห้เพื่อระบายความอัดอั้นที่ผ่านมาในช่วงนี้
พอได้ร้องไห้ระบายความอัดอั้นออกมาแล้ว ถึงจะดีกว่า
เวลานี้ สิ่งที่ไม่ต้องการคือการปลอบโยนที่หยุดร้องและไม่รู้จะรับมือยังไง แต่ควรจะกอดเธอไว้อย่างเด็ดขาด และพูดอย่างเผด็จการ อยู่ในอ้อมกอดผม ร้องไห้เต็มที่เลยโอเคมั้ย?