บทที่ 608 ผู้ชายแข็งกระด้าง
กู้จื่อเฟยเดินมาถึงที่ข้างบันไดแล้วก็หยุดลง เธอยืนห่างจากเขาสามก้าว
แล้วเธอก็พูดทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย “ไปกันเถอะค่ะ”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยืนตัวตรงอยู่อย่างนั้นทั้งคน
ที่เขาตั้งใจยืนรอเธออยู่ที่นี่ ก็เพราะบันไดนี้ไม่ค่อยดี แถมเธอก็เพิ่งจะร้องไห้เสร็จ กลัวว่าเธอจะตามัวมองไม่ค่อยเห็นแล้วล้มได้
แต่เธอกลับยืนซะไกล นี่หมายความว่าจะให้เขาขึ้นไปก่อนงั้นหรอ?
เขาเม้มปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณขึ้นไปก่อน”
กู้จื่อเฟยถึงเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วมองเย้นโม่หลินที่ยืนอยู่บันได บันไดแคบมาก ความกว้างของบันไดสามารถยืนได้แค่คนเดียว และเย้นโม่หลินที่รูปร่างสูงใหญ่ยืนชิดอยู่ที่ขอบบันได
ถ้าขืนเธอเดินขึ้นไป ก็ต้องใกล้ชิดกับเย้นโม่หลินเอามากๆ
และถ้าไม่ระวัง ยังอาจจะเบียดกับเขาได้
กู้จื่อเฟยลังเลเล็กน้อย แล้วพูดโดยที่เสียงยังคงแหบ “คือ……ฉัน ฉันขึ้นทีหลังดีกว่าค่ะ คุณเป็นเจ้าของ คุณขึ้นไปก่อนเลยค่ะ”
เย้นโม่หลิน “……”
เขามองหน้าของกู้จื่อเฟยอย่างหดหู่ ก็แค่ขึ้นเครื่องเอง ทำไมเธอต้องยึกยักแบบนี้ด้วย?
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “ผมคอยดูคุณไว้ คุณขึ้นไปก่อน”
คอยดู?
คอยดูอะไร?
กู้จื่อเฟยทำหน้าสงสัย และเธอก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ต้วนอานที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นฉากนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นทีหนึ่ง
เขาสุดทนจริงๆ แล้วพูดกับกู้จื่อเฟย
“คุณกู้ครับ คุณขึ้นไปก่อนเถอะครับ บันไดนี้ไม่ค่อยดี คุณอาจจะล้มได้ ที่คุณชายของผมยืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อปกป้องคุณเลยนะครับ!”
ได้ยินแบบนี้แล้ว กู้จื่อเฟยถึงกับลืมตาโตอย่างตกตะลึง แล้วมองเย้นโม่หลินด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อ
นึกไม่ถึงว่าที่เขาตั้งใจยืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะปกป้องเธองั้นหรอ?
เขาเกลียดเธอจะตายไป จะ……ได้ไง
เย้นโม่หลินมีความคิดแบบนี้จริง แต่ถูกต้วนอานพูดออกมาซะตรงขนาดนี้ จู่ๆกลับรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูกซะงั้น
ราวกับว่าเรื่องที่เขากำลังทำอยู่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างงั้น
เย้นโม่หลินหน้าดำขึ้นมาแล้วต่อว่าต้วนอาน
“นายพูดมากจังเลยนะ?หรือว่านายอยากจะไปฝึกอบรมพิเศษที่แอฟริกาเพิ่ม?”
ต้วนอานตกใจจนตัวสั่น รีบปิดปากของตัวเองไว้ สีหน้าแววตาเหมือนถูกรังแกมายังไงอย่างงั้น
นี่เขาอุตส่าห์หวังดี เป็นห่วงความสุขของคุณชายตัวเองถึงยอมเปิดปากอธิบายให้เธอฟัง เขากลับไม่เห็นความหวังดีของตัวเองซะงั้น?
พอข่มต้วนอานเสร็จ เย้นโม่หลินถึงหันมามองกู้จื่อเฟย แล้วพูดด้วยเสียงแข็งทื่อ
“ผู้หญิงต้องมาก่อน”
กู้จื่อเฟยเห็นเขายื่นแขนออกมาอย่างสุภาพบุรุษ หัวใจที่เต้นแรงได้กลับมาสงบในทันที แล้วกลายมาเป็นเงียบกริบ
ก็นั่นสินะ เขาจะมาปกป้องเธอเป็นพิเศษได้ยังไงกัน เขาก็แค่เป็นสุภาพบุรุษจนเคยชิน
กู้จื่อเฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประชดประชันตัวเอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะคิดมากอะไรอีก?
แล้วเธอก็ก้มหน้าแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างแข็งทื่อต่อ
ต้วนอานมองหน้าคุณชายตัวเองแล้วส่ายหัว
หมดหนทางช่วยแล้วจริงๆ
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คุณชายของเขาคงต้องอยู่เป็นโสดแบบนี้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ เรื่องที่ว่าจะมีคุณผู้หญิงในอนาคตคงได้กลายเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด
คุณผู้หญิงไม่รู้กี่คนแล้วที่ถูกเขาทำเสียเรื่องจนหนีห่างจากเขาไป
ปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่ได้จริงๆ
กู้จื่อเฟยเดินมาถึงข้างบันได อยู่ห่างจากเย้นโม่หลินแค่ระยะก้าวเล็กๆก้าวเดียว
ใกล้มาก
แค่เธอเดินเซหน่อยเดียวก็จะถูกตัวเขาได้เลย
กู้จื่อเฟยกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆเดินขึ้นบันไดอย่างระมัดระวังด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ
เธอเดินอย่างระมัดระวังมาก พยายามไม่ให้ตัวเองเดินเอียงและล้มไปถูกตัวเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะช่วยพยุงเธอทุกเมื่อ
แต่เมื่อเห็นกู้จื่อเฟยเดินขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่ขยับเลย ไม่มีโอกาสให้เขาช่วยเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอเดินระมัดระวังจริงๆเลยนะ
เห็นกู้จื่อเฟยเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เขาก็รีบเดินตามขึ้นไปบนเครื่องอย่างรวดเร็ว เย้นโม่หลินกลับรู้สึกอารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาเป็นอะไรไปเนี่ย?
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หลายวันมานี้ อารมณ์ของเขาแปรปรวนอย่างน่าแปลก หรือว่าเขาจะเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปลกจังเลย
คงจะป่วยที่ไหนสักที?
เอาไว้มีเวลาต้องให้ป่ายฉีช่วยดูอาการหน่อยแล้ว
หลังจากทุกคนขึ้นเครื่องแล้ว เครื่องบินก็บินขึ้นในทันที บินกลับไปทางเส้นทางที่มา
กู้จื่อเฟยนั่งอยู่ที่นั่งริมหน้าต่าง ส่วนเย้นโม่หลินนั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงหน้าของเธอ
ครั้งนี้ เย้นโม่หลินออกเดินทางอย่างเร่งรีบ เลยไม่ได้พาลูกน้องมาเยอะเท่าไหร่ มีที่ว่างบนเครื่องเหลือมากมาย แต่เขากลับเดินตรงดิ่งไปนั่งที่ตรงหน้าของกู้จื่อเฟย
เดิมที เขากะอยากจะพูดอะไรกับเธอหน่อย
แต่เขาเพิ่งจะนั่งลงไป กู้จื่อเฟยก็รีบหันหน้าไปทางหน้าต่างทันที ตาของเธอมองอยู่นอกหน้าต่าง
เย้นโม่หลิน “……”
สายตาของเขาจ้องอยู่ที่เธอ คำพูดกลับติดอยู่ที่คอพูดอะไรไม่ออก
ต้วนอานนั่งอยู่แถวข้างหน้า แอบหันมามอง เห็นคุณชายของตัวเองแล้วก็รู้สึกเห็นใจ
น่าสงสารคุณชายจริงๆ
เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
ต้วนอานคิดๆแล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณกู้ครับ อยากดื่มอะไรมั้ยครับ?กาแฟหรือว่านมอุ่นๆดี หรือว่าน้ำผลไม้มั้ยครับ มีทั้งแบบร้อนและแบบเย็นเลยครับ”
กู้จื่อเฟยส่ายหัว เธอทานอะไรไม่ลง
“ไม่ต้องค่ะ”
ต้วนอานพูดต่อ “งั้นของหวานล่ะครับ?อยากกินอะไรครับ?เค้ก ขนม ผลไม้ก็มีหมดนะครับ”
“ฉันไม่อยากกินค่ะ ไม่ต้องรบกวนแล้วค่ะ”
กู้จื่อเฟยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เสียงของเธอยังคงแหบหลังจากผ่านการร้องไห้เสร็จ
ต้วนอานรีบถามอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงสูง
“คุณกู้ครับ คุณไม่ยอมกินอะไรเลย สีหน้าก็ดูแย่มาก ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“ฉันเปล่า……”
กู้จื่อเฟยกำลังอยากจะตอบว่าไม่ใช่ จู่ๆมือตรงหน้าก็ยื่นมาจับข้อมือของเธอไว้กะทันหัน
เธอตกใจอึ้งในทันที แล้วจะสะบัดมือของเขาออก กลับถูกมือใหญ่ของผู้ชายกุมไว้อย่างแน่น
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่าขยับ ให้ผมตรวจดู”
เขาจับข้อมือของเธอไว้ คือท่าทางที่จับชีพจร
กู้จื่อเฟยลืมตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ อึ้งจนตัวแข็งทื่ออย่างกับถูกฟ้าผ่ามาอย่างงั้น
เขา เขาช่วยเธอจับชีพจรหรอเนี่ย!
วิธีดั้งเดิมแบบนั้น เขาก็เป็นด้วยหรอ……
ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
สายตาของกู้จื่อเฟยจ้องมองที่มือของเขาอย่างไม่ขยับไปไหน มือที่เรียวยาวค่อยๆโค้งงอขึ้น แนบกับข้อมือของเธอ
ฝ่ามือของเขารู้สึกเย็นๆราวกับหยก สัมผัสแล้วรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งๆที่มือของเขาเย็นเฉียบ แต่ผิวของกู้จื่อเฟยกลับเหมือนถูกไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งร้อนทั้งแดง
ความร้อนนั้นได้ส่งผ่านมาถึงหัวใจของเธอ ร้อนจนหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เธอตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดโดยที่เสียงแข็งทื่อไปหมด
“ฉัน ฉันไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ต้องทำถึงแบบนี้ก็ได้ค่ะ”
ยังไงซะ ร่างกายของเธอจะเป็นอะไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว และเขาก็คงไม่ได้ใส่ใจจริงๆหรอก
แล้วทำไมต้องมาทำให้เธอหวั่นไหวด้วย
เย้นโม่หลินไม่ได้สนใจกับคำพูดของกู้จื่อเฟยเลย เขาขมวดคิ้วแล้วช่วยเธอจับชีพจรอย่างตั้งใจ
นี่เป็นวิธีรักษาแบบโบราณ แต่เขาก็พอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง
ไม่ได้เก่งทุกเรื่องเหมือนป่ายฉี แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
จับชีพจรได้พักหนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น สีหน้าก็ยิ่งดูเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่ากู้จื่อเฟยป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรอย่างไรอย่างนั้น
ทำเอากู้จื่อเฟยก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หรือว่าเธอจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรจริง?
ต้วนอานก็ตื่นเต้นตาม
ทีแรกเขาก็แค่อยากจะจับคู่ทั้งสองเฉยๆ แต่ถ้าตรวจพบว่ากู้จื่อเฟยเป็นโรคร้ายแรงอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จะเปลี่ยนจากเรื่องดีเป็นเรื่องร้ายแล้ว
อีกอย่าง น้อยครั้งมากที่เขาจะเห็นคุณชายของตัวเองมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ ร่างกายของกู้จื่อเฟยต้องมีปัญหาใหญ่แน่เลย
ต้วนอานรู้สึกใจคอไม่ดี แล้วถามอย่างอดใจไม่ไหว “คุณชายครับ ร่างกายของคุณกู้เป็นอะไรหรอครับ?”