หาสักเหตุผลแล้วแกล้งขาแพลง จากนั้นก็ไม่ต้องเต้นแล้วดีไหม?
เมื่อคิดแบบนี้ กู้จื่อเฟยก็เหยียดเท้าไปข้างหน้าพลางคิดวางแผน..”อุ๊ย” ในขณะนั้นเองก็มีมือคู่หนึ่งยื่นมาจับแขนของเธอไว้
มือของเขาทั้งใหญ่ทั้งอุ่น แต่ฉับพลันก็เหมือนไฟที่แผดเผาผิวของเธอ
กู้จื่อเฟยรีบดึงมือกลับราวกับถูกไฟฟ้าช็อต และมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก
“คุณชายเย้น คุณ..”
มือของเย้นโม่หลินชาค้างอยู่กลางอากาศ
ดวงตาสีเข้มของเขามองไปยังฝ่ามือที่ว่างเปล่า
ทันใดนั้น เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม “เต้นรำ”
เขาผายมือออกเป็นการเชิญชวน
กู้จื่อเฟยเบิกตาโตด้วยความตกใจ เธอมองไปยังเขาด้วยแววตาว่างเปล่า ราวกับฟังผิดเหมือนได้ฝันไป
เย้นโม่หลินจะเต้นรำกับเธอจริงๆ เหรอ
นี่มัน….
เป็นสิ่งที่ไม่กล้าคิดเลย
เย้นโม่หลินมองดูเธอที่ท่าทางแข็งทื่อ ความอดทนของเขาลดลง เขายื่นมือออกไปอีกครั้ง แล้วจับมือเล็กๆของเธอมากุมไว้
เล็กและนุ่มนิ่ม สัมผัสนั้นทำให้เขานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
กู้จื่อเฟยเองก็รู้สึกตะลึงไปเช่นกัน
ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต เธอเบิกตาโต จ้องมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา
เย้นโม่หลินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ว่า
“ไปกันเถอะ”
ในขณะที่พูด สายตาดูตื่นตระหนกและไม่กล้าสบตา เขาส่ายหัวก่อนจะดึงเธอไปยังฟลอร์เต้นรำ
ฝีเท้านั้นค่อนข้างรีบเร่ง
กู้จื่อเฟยถูกพาไปยังเวทีที่เป็นสนามหญ้า เธอจ้องมองไปยังมือทั้งสองข้างที่โดนกุมอยู่อย่างไม่วางตา
เหมือนกับว่าจะหัวใจวายตาย ราวกับสวิตส์นั้นถูกกดอีกครั้งทั้งเต้นแรงและเร็ว
เขาก็เหมือนดอกป๊อบปี้ ทั้งที่มีพิษ ทั้งที่ต่อต้านและปฏิเสธ แต่เมื่อเข้าใกล้ก็สามารถทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง
ในตอนที่พากู้จื่อเฟยเดินไปยังสนามหญ้า เย้นโม่หลินหยุดเดินก่อนจะหันไปมองเธอ
เมื่อเห็นท่าทีงุนงงของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม
“เต้นรำเป็นมั้ย?”
“ห๊ะ”
กู้จื่อเฟยหลุดจากพะวังพลางพยักหน้า “ได้ ได้สิ”
ใจลอยเกินไปแล้ว เธอเกือบจะลืมแล้วว่ากำลังเต้นรำอยู่
เย้นโม่หลินเม้มริมฝีปาก ยื่นมือออกไปโอบรอบเอวของกู้จื่อเฟยเอาไว้
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันด้วยระยะห่างกันเพียงน้อยนิด แล้วมองไปยังอีกฝ่าย
หัวใจของกู้จื่อเฟยเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
เธอหลับตาลง ไม่กล้าที่จะมองอีก
เธอคอยเตือนตัวเองอยู่เงียบๆ ว่านี่เป็นแค่เพียงการเต้นรำ และสำหรับเย้นโม่หลินแล้วนี้ก็เป็นเพียงแค่หน้าที่
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น
เธอไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ ไม่สามารถรู้สึกไปได้มากกว่านี้แล้ว
เย้นโม่หลินมองดูท่าทางแสนอึดอัดของผู้หญิงตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว นี่เธอไม่อยากอยู่กับเขามากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
ต่อให้เป็นการเต้นรำเพียงรอบเดียวก็ไม่ยอมรับงั้นเหรอ?
มันอัดแน่นอยู่ภายในใจราวกับกำลังโดนหินก้อนใหญ่ทับอยู่ มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
เขาเม้มปาก ออกแรงมือที่จับเอวของกู้จื่อเฟยอยู่อย่างกะทันหัน ทำให้เธอเริ่มเต้นรำขึ้นมา
การเคลื่อนไหวที่โรแมนติกและสง่างาม แต่เขากลับจงใจทำให้ดูรุนแรงไปหน่อย
ร่างของกู้จื่อเฟยเคลื่อนไหวไปรอบๆ อย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งเพราะกำลังของชายผู้นี้เธอพลันรู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำหนัก
ขณะย่างก้าว เธอเกือบล้มลงในอ้อมแขนของเขาหลายครั้ง
เธอประหม่าอย่างมาก เอาแต่จดจ่ออยู่กับการเต้นรำและไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้
ฝู้เหวยข่าย ถือแก้วไวน์ไว้ในมือ กำลังยืนมองทั้งสองคนที่เต้นอยู่ที่ฟลอร์อยู่ไกลๆ
แววตายิ่งเผยความร้ายกาจออกมา
ที่จริงแล้วคนที่จะได้เต้นรำกับกู้จื่อเฟย คือเขาต่างหาก
“แม่งเอ๊ย!”
เขาบีบมืออย่างแรง แก้วไวน์เกิดรอยแตกร้าว ไอสังหารเผยออกมาอย่างไม่คาดคิด
“กู้จื่อเฟย”
ระหว่างเต้นรำ เย้นโม่หลินเอ่ยเรียกชื่อกู้จื่อเฟยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
กู้จื่อเฟยเงยหน้าขึ้นมองเย้นโม่หลินด้วยใจที่กำลังเต้นรัว “มีอะไรเหรอ”
เย้นโม่หลินตอบเสียงทุ้มเข้ม “การเต้นรำใกล้จะจบแล้ว”
ใกล้จะจบแล้วเหรอ?
กู้จื่อเฟยใจกระตุก ไม่รู้ว่าเป็นความโล่งใจหรือความอาวรณ์กันแน่
เย้นโม่หลินก็พูดขึ้น ”ฉันจะจบการเต้นรำครั้งนี้ก่อนล่วงหน้า”
กู้จื่อเฟยตัวแข็งทื่อ
“เวลาเหลือไม่มากแล้ว เธอไปที่ห้องเก็บของขวัญ แล้วนำหยกเลือดของ ฝู้เหวยข่าย ออกมา หยกเลือดชิ้นนี้มีเนื้อสัมผัสพิเศษ แหล่งกำเนิดก็ยิ่งพิเศษ หยกเลือดชิ้นนั้นจะทำให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลตัวตนของ ฝู้เหวยข่าย “
เย้นโม่หลินพูดอย่างไม่ชักช้า
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื่อเฟยก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
เย้นโมหลินจงใจส่งพลอยอเมทิสต์ชั้นสูงเพื่อทำให้ ฝู้เหวยข่าย โกรธ และทำให้เขาต้องแข่งขันดังนั้นจึงนำหยกเลือดออกมาสินะ ยิ่งเป็นของล้ำค่า ยิ่งหายาก และของส่วนตัวประเภทนี้ ยังสามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แท้ที่จริง เขาวางแผนไว้อย่างดีตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
ที่ให้ของขวัญก็เพื่อแผนการนี้
เพียงแต่เธอยังไม่เข้าใจ ต่อให้เวลาเหลือไม่มากแล้ว แต่ก็ยังพอมีเวลารอให้เพลงเต้นรำนี้จบลงก่อน เธอค่อยไปหยิบหยกเลือดก็ยังทัน จากตอนนี้จนถึงตอนจบเพลง อย่างมากก็แค่สี่ถึงห้านาทีเท่านั้นเอง
แต่ทำไมถึงเร่งให้จบก่อนทั้งๆ ที่เหลืออีกเพียงไม่กี่นาทีด้วย?
กู้จื่อเฟยไม่เข้าใจ
เสียงของเย้นโม่หลินดังขึ้นอีกครั้ง “ฉันจะปล่อยมือแล้ว”
นี่คือท่าหมุนออกด้านนอก ผู้ชายจะดึงผู้หญิงให้หมุนตัวออก แล้วดึงกลับมา
แต่หากปล่อยมือแล้ว กู้จื่อเฟยจะหมุนตัวออกไป และทำให้การเต้นรำนั้นดูผิดพลาด
แบบนี้ก็จะจบได้อย่างราบรื่น
เย้นโม่หลินบอกกับกู้จื่อเฟยไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เธอได้เตรียมตัว ในกรณีที่เธอสูญเสียเรี่ยวแรง เพื่อกันไม่ให้ตัวเธอล้มลง
แต่อย่างไรก็ตาม ในใจของกู้จื่อเฟยยังกังวลและยังสับสน เธอไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเย้นโม่หลิน
และยังไม่ได้เตรียมตัวรับมือ
ในจังหวะที่เย้นโม่หลินปล่อยมือ เธอก็สูญเสียการทรงตัวในทันทีและหันล้มลงไปข้างนอก
กู้จื่อเฟยตกใจหน้าถอดสี ดวงตามองเห็นว่าตนเองกำลังจะล้มลง แต่กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
เธอหน้าซีด ในหัวเต็มไปด้วยสีขาวโพลน
หกล้มกลางงานเลี้ยง ขายหน้าไปถึงไหนต่อไหน
อีกทั้งยังขายหน้าต่อหน้าเย้นโม่หลินอีกด้วย
เธอหลับตาลงด้วยความสิ้นหวังและอยากตายมันซะเลย
ทว่า ในขณะที่เธอกำลังจะล้มลง ทันใดนั้นเองก็มีมือของใครคนหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้
เขาดึงตัวเธอและขยับตัวเข้าหา จากนั้นก็ดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่น
จมูกได้กลิ่นหอมได้อย่างชัดเจน
ท่าทางอันแสนใกล้ชิดนี้ทำเอากู้จื่อเฟยตัวแข็งทื่อ เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็มองเห็นคางของเย้นโม่หลินได้อย่างชัดเจนน
เขากำลังก้มหน้ามองเธอด้วยแววตาหม่นเข้ม
เมื่อสบตา มันทำให้กู้จื่อเฟยตื่นตระหนกราวกับถูกไฟช็อต
เธอผลักเขาออกอย่างกะทันหันแล้วถอยไปข้างหลังสองก้าว แววตาสั่นไหวไม่หยุด
“ขอ..ขอโทษนะ”
พูดจบ กู้จื่อเฟยไม่กล้าสบตากับเขา ก้มหน้าลงแล้ววิ่งออกจากฟลอร์เต้นรำ
เย้นโม่หลินยืนมองเธอ พลางขมวดคิ้ว มองตามแผ่นหลังของกู้จื่อเฟยด้วยความรู้สึกหนักใจ
มือในตอนนี้ราวกับยังมีความรู้สึกอันแสนนุ่มนิ่มที่โอบกอดเธอเมื่อครู่
แต่ในอ้อมกอดกลับไม่มีสิ่งใดอยู่แล้ว
ความรู้สึกสูญเสียที่ติดอยู่ในใจทำให้เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
กู้จื่อเฟยวิ่งออกจากสวนดอกไม้ และในที่สุดก็หยุดที่ทางเดินของคฤหาสน์ เธอสูดลมหายใจ
หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก “ตูมตาม” จนดูเหมือนจะบินออกจากอกของเธอ
เธอเพิ่งจะกอดเย้นโม่หลิน
อ้อมกอดอันกว้างขวางนั้น เป็นที่ที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด
แม้ว่าเธอจะพยายามระงับความเศร้าและลืมความรู้สึกที่มีต่อเขา กำแพงที่อยู่ภายในหัวใจของเธอแทบจะพังทลายในทันทีเมื่อเธออยู่ในอ้อมแขนของเขา
ความรู้สึกที่ถูกกักขังฟื้นคืนชีพและถูกเผาไหม้กลายเป็นไฟลุกโชนซึ่งไม่สามารถยับยั้งได้
เธอคลั่งไคล้และอยากจะกอดเขาแน่นขึ้น