“การสวมบทบาทยกเลิกเถอะ”
น้ำเสียงอย่างเสียดายนั่นหมายความว่ายังไง?
เย้นหว่านรู้สึกได้ถึงความรังเกียจและดูหมิ่นจากใจ ถึงแม้ว่าโห้หลีเฉินจะไม่แสดงสีหน้าอะไร ปิดบังไว้หมดแล้ว
เธอโมโหอย่างอารมณ์เสีย ชี้หน้าตัวเองพูด
“พวกคุณรู้จักชื่นชมไหม? นี่เป็นการแต่งหน้าแบบสโมกกี้ สวยจะตาย ในบาร์เด็กผู้หญิงมากมายที่ชอบ”
โห้หลีเฉินเดินเข้าไป ตบผมของเธอเบาๆ พูดปลอบว่า
“อืม ผมก็ชอบ”
น้ำเสียงพูดได้ว่าแบบขอไปทีเถอะ
เย้นหว่าน “……..”
กู้จื่อเฟยยืนอยู่ด้านข้าง ซ่อนหน้าใบนี้ของตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเทียบกับเย้นหว่าน เธอรู้ตัวดี ตัวเองในกระจกน่าเกลียดจนแม่ก็จำไม่ได้แล้ว
การแต่งหน้าสไตล์สโมกกี้ที่เข้มมาก แต่งจนตาเหมือนกับแพนด้า แล้วก็ปากสีแดง บนหน้ายังติดดอกไม้อย่างสว่างไสว
ทั้งหมดรวมกันในร่างเดียวกันที่ไม่ตามกระแส
พูดตามตรง สภาพแบบนี้ เธอเองยังไม่อยากดู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย้นโม่หลินและโห้หลีเฉิน ช่างทำให้แสบตาคนอื่นจริงๆ
ไม่รู้ว่าโห้หลีเฉินเอาความกล้ามาจากไหน บอกว่าเขาก็ชอบ
ที่เป็นรักแท้ที่ต่อต้านความจริงใจแล้วต่างหาก
แต่ว่าก็มีเพียงแบบนี้ พวกเธอถึงสามารถปิดบังโฉมหน้าเดิมของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะในกล้องวงจรปิด หรือว่าต่อหน้า ก็ดูฐานะตัวตนของพวกเธอได้ไม่ง่าย
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอหน้ากับท่านรองคนนี้เลย แต่ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เขาอาจเคยเห็นรูปถ่ายของพวกเธอ
หลังจากแต่งหน้าเข้มแล้ว ทำเรื่องอะไรก็จะได้ง่ายและปลอดภัย
“ก๊อกก๊อกก๊อก”
เวลานี้ มีเสียงเคาะประตูไม่ดังไม่เบาดังขึ้น
สีหน้าล้อเล่นของโห้หลีเฉินก็รีบเก็บทันที เดินไปที่ประตูด้วยสีหน้าเย็นชา เปิดประตูออกนิดหน่อย
ผู้จัดการยืนอยู่หน้าประตู วินาทีแรกที่เห็นโห้หลีเฉิน อดตะลึงไม่ได้
ชุดพนักงานเสิร์ฟชุดนี้ เป็นชุดที่ลูกน้องของเขาใส่อยู่ทุกวัน เป็นชุดที่เขาดูจนชินแล้ว มีรสชาติของการเป็นพนักงานเสิร์ฟในตัว
แต่พอใส่บนตัวของโห้หลีเฉินแล้ว แต่กลับบดบังบุคลิกอันสง่าในตัวของเขาไม่ได้เลย จนกระทั่งเสื้อผ้านี้ ถูกใส่จนดูเหมือนเสื้อผ้าสั่งตัดราคาสูง
คนต่างพูดกันว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ส่วนคนแบบโห้หลีเฉิน เป็นคนทำให้เสื้อผ้าดูดีขึ้นล้วนๆ
บุคลิกโดดเด่นเกินคนทั่วไป ดูสูงส่งและโดดเด่น
โห้หลีเฉินเห็นผู้จัดการเหม่อลอย พูดอย่างไม่ค่อยมีความอดทน “เรื่องอะไร?”
ผู้จัดการเรียกสติกลับมา รีบพูดว่า
“คุณโห้ เหล้าในห้องรับรองส่งไปได้แล้ว”
โห้หลีเฉินเม้มปาก หันไปมองเย้นหว่าน สายตาเคร่งขรึมเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเต็มใจ
แต่ว่าเขากับเย้นโม่หลินถึงจะใส่ชุดพนักงานแล้ว ดูแล้วก็ไม่เหมือนพนักงาน อย่างมากก็แค่หลอกกล้องวงจรปิดเท่านั้น เผชิญหน้าต่อหน้าแล้วหลอกคนไม่ได้แน่
บริการเสิร์ฟเหล้า ก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของเย้นหว่านกับกู้จื่อเฟย
เย้นหว่านดูออกว่าโห้หลีเฉินกังวล รีบพูดอย่างยิ้มแย้ม
“แค่เสิร์ฟเหล้าเท่านั้น ฉันทำได้ คุณรอฉันอยู่ข้างนอกด้วยความวางใจ”
โห้หลีเฉินยังคงสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยเสียงต่ำ
“เข้าไปเสิร์ฟเหล้าเสร็จก็ออกมา อย่าอยู่นานเด็ดขาด ถ่อมตัวหน่อยอย่ามองไปเลื่อย ทำตัวให้เป็นธรรมชาติหน่อย เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นงานผม”
เย้นหว่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
ว่าไปแล้ว เธอกับกู้จื่อเฟยแต่งตัวเป็นแบบนี้ คาดว่าคนในห้องรับรองคงไม่อยากจะมองพวกเธอ อย่าจะไล่พวกเธอออกมาทันที
แต่ว่า เข้าไปทั้งที ก็พอจะได้รู้ว่า ท่านฝู้รองทำอะไรอยู่ข้างในแล้ว
เขาเหมาโรงแรมน้ำพุร้อนตั้งครึ่งเดือน ต้องไม่ใช่แค่งานเลี้ยงรวมตัวกินเหล้าเท่านั้นแน่นอน
เย้นโม่หลินมองเย้นหว่านและกู้จื่อเฟยด้วยสายตากังวล เม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูด
จากนั้น ผู้จัดการพาพวกเย้นหว่านไปเอาเหล้า ให้พวกเธอยกคนละขวด แล้วเดินตามเขาไปในห้องรับรอง
โห้หลีเฉินและเย้นโม้หลินตามอยู่ข้างหลังพวกเธอ
ถึงหน้าห้องรับรอง ผู้จัดการเคาะประตู “คุณผู้ชาย เหล้ามาแล้วครับ”
“เข้ามาได้”
ในห้องเป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
ผู้จัดการยื่นมือเปิดประตู ก็ถอยหลังไปสองก้าว ให้เย้นหว่านและกู้จื่อเฟยเข้าไป
ส่วนเขาและพวกเย้นโม่หลิน ก็รออยู่ด้านนอก
หลังจากเย้นหว่านและกู้จื่อเฟย ผู้จัดการเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดึงประตูเพื่อปิด
เห็นท่าทางของเขา โห้หลีเฉินสีหน้าเย็นชาทันที “คุณทำอะไร?”
ผู้จัดการถูกราศีอันน่าเกรงขามของเขาทำให้ตกใจจนตัวสั่น รีบพูดอธิบาย
“เสิร์ฟเหล้าเข้าไปไม่ว่านานแค่ไหน ก็ต้องประตูห้อง นี่คือระเบียบ จะทำให้พวกเขาสงสัยไม่ได้”
ห้องรับรองทั่วไปก็เป็นเช่นนี้
โห้หลีเฉินสีหน้าทั้งโกรธทั้งเย็นชา ให้เย้นหว่านหายไปจากสายตาเขาไปเสิร์ฟเหล้าให้คนอื่น ความโมโหร้ายในร่างกายของเขากำลังกระวนกระวายไปทั่วร่างกาย
ทนไม่ไหวที่อยากจะพุ่งเข้าไป ใช้วิธีที่ง่ายและรุนแรงที่สุดจับตัวพวกเขาไว้แล้วมาสอบสวน
เย้นโม่หลินสีหน้าเคร่งขรึม “เชื่อใจเสี่ยวหว่านรับมือได้ พวกเราไปเถอะ”
พวกเขาเป็นพนักงานชาย เข็นรถเสิร์ฟเหล้าเสร็จแล้ว ก็ควรออกไปจากที่นี่ ไม่ควรยืนอยู่หน้าประตู
มิฉะนั้นจะทำให้คนดูกล้องวงจรปิดสงสัย
โห้หลีเฉินเหมือนร่างกายทั้งร่างต่อต้าน ต้องฝืนควบคุมไว้ แล้วหมุนตัวอย่างเย็นชา
อดทนไว้ไม่กี่นาทีเอง
ในเวลาเดียวกัน เย้นหว่านและกู้จื่อเฟยยกเหล้า เดินเข้าไปในห้องรับรองที่แสงไฟค่อนข้างมืด
ห้องกว้างมาก แต่มีคนนั่งอยู่เพียงสองคน
และสองคนนี้ เป็นชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนขับรถที่เย้นหว่านเคยเห็นแล้ว อีกคนหนึ่งไม่เคยเห็น
แต่สองคนนี้ ไม่มีใครใช่ท่านฝู้รองเลย
ข่าวที่ได้รับจากผู้จัดการบอกว่า ตอนนี้ท่านฝู้รองกำลังอยู่ในห้องรับรองนี้ เห็นเขาเข้ามาเองกับตา
ทำไมตอนนี้คนไม่อยู่แล้ว?
หรือจะหายตัวไปแล้ว?
เย้นหว่านรู้สึกแปลกใจมาก รู้สึกค่อนข้างวุ่นวาย
“คุณผู้ชาย นี่คือเหล้าที่พวกคุณสั่ง เปิดเลยไหมคะ?”
กู้จื่อเฟยพอมีสติหน่อย ยื่นเหล้าไปอย่างยิ้มแย้ม
ชายหนุ่มเห็นหน้าของเธอแล้วก็แสดงสีหน้ารังเกียจ พูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงแต่งได้น่าเกลียดขนาดนี้?”
กู้จื่อเฟยมุมปากกระตุก รักษารอยยิ้ม “นี่เป็นสไตล์ของโรงแรมเราในวันนี้ สไตล์สโมกกี้ การแต่งหน้าทุกวันจะไม่เหมือนกัน เพื่อทำให้พวกคุณได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันและแปลกใหม่ทุกวัน”
ได้ยินคำอธิบายแบบนี้ สีหน้าของชายหนุ่มก็ดีขึ้นบ้าง
พูดว่า “บริการดี แต่แต่งหน้าน่าเกลียดเกินไป อาจจะเป็นเพราะคนก็ขี้เหร่”
กู้จื่อเฟย “……..” นิสัยโมโหร้ายของเธอ
มองเห็นกู้จื่อเฟยจะทนไม่ไหวแล้ว เย้นหว่านรีบดึงมือเธอไว้
หยิบที่เปิดขวดออกมาอย่างยิ้มแย้ม เตรียมตัวจะเปิดเหล้า
“คุณผู้ชาย ฉันเปิดเหล้าให้พวกคุณ”
โห้หลีเฉินดื่มไวน์แดง เย้นหว่านจะช่วยเขาเปิดเป็นบางครั้ง ก็ฝึกเทคนิคการเปิดไวน์ได้โดยไม่ตั้งใจ
ชายหนุ่มเห็นเย้นหว่านเปิดเหล้า ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ก็นอนอยู่บนโซฟาอย่างสบายเช่นนั้นต่อ
เย้นหว่านใช้เวลาระหว่างที่เปิดเหล้า ก็ใช้สายตาสำรวจห้องรับรองอย่างละเอียดอย่างรวดเร็ว
ห้องน้ำไม่มีคน
มุมห้องก็ไม่มีคน
ห้องรับรองนี้ดูแล้ว มีเพียงผู้ชายสองคนนี้เท่านั้นจริงๆ
แต่ท่านฝู้รองเข้ามาแล้วชัดๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน?