แต่ถึงอย่างนั้น คราบเลือดไหลเป็นเส้นเล็กๆ บนคอของเธอนั้น ทำให้ดวงตาของเขาเจ็บปวดเหมือนโดนทิ่มแทง
นิ้วของเย้นโม่หลินสัมผัสที่บาดแผลของเธอเบาๆ พูดเสียงหนัก “เจ็บไหม?”
เสียงทุ้มต่ำนั้น ราวกับเป็นห่วงเธออย่างมาก
กู้จื่อเฟยตกใจจนพูดไม่ออก หัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ
เย้นโม่หลินในตอนนี้ ทำให้เธอคิดเพ้อเจ้อไปได้ง่ายจริงๆ
แต่เธอกลับรู้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าเธอคงกลัวมากเกินไปจนสติไม่อยู่กับเนื้อกันตัว ถึงได้เข้าใจความหมายของการเอาใจใส่ผิดไป เมื่อเห็นตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา ก็รู้สึกตกใจและเขินมาก “ฉัน ฉันไม่เจ็บ ขอบคุณนะ ขอบคุณที่คุณช่วยฉันเอาไว้”
พูดจบ กู้จื่อเฟยก็ผลักเย้นโม่หลินให้ถอยห่างและลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขา เมื่ออ้อมกอดว่างเปล่า เย้นโม่หลินรู้สึกเจ็บเหมือนหัวใจถูกควักออกไปอย่างกะทันหัน
เขาเอื้อมมือออกไปโดยไม่รู้ตัว คว้าไปจับข้อมือของกู้จื่อเฟยเอาไว้ กู้จื่อเฟยตกตะลึง มองไปที่เย้นโม่หลินด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเธอสั่นไหว
“นี่คุณ นี่คุณจะทำอะไร?” “อันตราย” เย้นโม่หลินพูดอย่างเคร่งขรึมและไม่ละสายตาจากกู้จื่อเฟยเลยแม้แต่น้อย สายตานั้นลึกซึ้งและซับซ้อน
หัวใจของกู้จื่อเฟยเต้นแรงอย่างเห็นได้ชัด เธอเอาแต่รู้สึกว่าเย้นโม่หลินอาจไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ และดูเหมือนมีเรื่องสำคัญมากที่จะพูดกับเธอ แต่เธอไม่มีเวลาคิดว่ามันคือเรื่องอะไร สังเกตเห็นว่าพวกเธอถูกล้อมรอบไปด้วยบอดี้การ์ด คนพวกนั้นกำลังใกล้เข้ามาหาพวกเธอ
ล้อมรอบไปทั่วทุกทิศ ไม่ง่ายเลยที่เย้นโม่หลินจะจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว นับประสาอะไรจะพาเธอออกไปด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเย้นโม่หลินไม่ได้สนใจพวกบอดี้การ์ดนั้นด้วยซ้ำ เขามองตรงมาที่เธอเหมือนกับว่าไม่คิดต่อสู้อีกแล้ว หรือว่าพวกเขาจะโดนรุมกระทืบงั้นเหรอ? กู้จื่อเฟยรู้สึกกังวลใจ
เย้นโม่หลินไม่มีความคิดที่จะต่อสู้สักนิด ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่กู้จื่อเฟยพร้อมกับกลุ้มใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดให้ชัดเจน แต่เขาอยากกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา ไม่ใช่กอดแค่ครู่เดียวแต่กอดไว้นานเท่านาน
การตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจแต่กลับตั้งใจอย่างแน่วแน่
เมื่อคิดดังนั้น เย้นโม่หลินจับมือให้กำลังใจกู้จื่อเฟย สายตามองไปที่เธอดูจริงจังมาก “กู้จื่อเฟย ฉันมีอะไรจะบอกกับเธอ” บอก บอกอะไร?
กู้จื่อเฟยมองไปที่บอดี้การ์ดที่อยู่รอบๆ กำลังใกล้เข้ามาด้วยความกลัว “คุณชายเย้น ถ้ามีอะไรเอาไว้ค่อยคุยทีหลัง จัดการพวกเขาก่อนเถอะ” เธอไม่อยากถูกจับไปอีก
เย้นโม่หลินกลับไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “สิ่งที่ฉันต้องการจะพูดสำคัญกว่า” กู้จื่อเฟย “…….” “แต่ แต่ว่า….”
เธอรู้สึกตื่นตระหนก คิดจะเกลี้ยกล่อมเย้นโม่หลินอีกครั้ง สายตาก็เหลือบไปเห็นบอดี้การ์ดอีกสิบกว่าคนวิ่งออกมาจากโรงแรมเข้าล้อมบอดี้การ์ดของฝู้เหวยข่ายไว้ทันที
จากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขึ้นทันที
สถานการณ์ที่ถูกล้อมรอบของบอดี้การ์ดของฝู้เหวยข่ายทำให้เกิดความวุ่นวายจนทำให้ตัวเขาเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด จึงไม่มีเวลาจู่โจมเย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟย ใจที่สิ้นหวังของกู้จื่อเฟยก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง รู้สึกเป็นผู้รอดชีวิต ในฐานะที่เย้นหว่านเป็นผู้ที่ดูอยู่รอบๆ มองชายที่อยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย
“บอดี้การ์ดของนายซุ่มอยู่ด้านข้างนานแล้วงั้นเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้ไม่ให้พวกเขาออกมาช่วย พอถึงตอนนี้เพิ่งให้พวกเขาออกมา?” เมื่อครู่เธอเห็นโห้หลีเฉินให้สัญญาณออกคำสั่ง โห้หลีเฉินยิ้มมุมปากและมองไปที่เย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟยอย่างมีความหมาย
“ให้โอกาสพี่ชายเธอได้แสดงฝีมือไงล่ะ”
เย้นหว่าน” …..” เมื่อกี้ถึงจงใจให้เย้นโม่หลินจัดการคนเดียวเหมือนพระเอกที่เข้าไปช่วยชีวิตนางเอกเหรอ?
จากนั้นที่ตอนนี้เขาก็ได้ช่วยชีวิตเฟยแล้ว เพียงแค่ต้องการให้เข้าเลิฟซีน ดังนั้นโห้หลีเฉินจึงส่งบอดี้การ์ดของตัวเองออกมาเคลียร์สถานการณ์งั้นเหรอ?
เพียงแค่ต้องการเข้ามาใกล้ชิดเหรอ เย้นหว่านมองไปที่ชายที่ตรงหน้า รู้สึกพูดไม่ออกทันทีทั้งยังเสียสติ เพื่อให้เย้นโม่หลินสละโสดโดยเร็ว แผนการของเขาพร้อมแล้ว จอมสองหน้าจริงๆ เย้นโม่หลินไม่สนใจพวกบอดี้การ์ดที่สู้กันอยู่ข้างๆ เขาจับมือของกู้จื่อเฟยไว้แน่นและจริงจังมาก เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “กู้จื่อเฟย พวกเรามาพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้กันดีกว่า” ตอนนี้เหรอ? กู้จื่อเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แค่รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
คนรอบข้างยังคงต่อสู้กันอยู่นะ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนขนาดนั้นเลยเหรอ?
เมื่อคืนนี้นอนอย่างไม่เต็มใจมากเลยทนไม่ไหวที่จะหาทางแก้แค้นให้เธอขนาดนี้
ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะโยนเธอเข้าไปในฝูงชนและถูกคนพวกนั้นเหยียบจนตาย เพื่อระงับความโกรธที่ถูกขืนใจใช่ไหม
กู้จื่อเฟยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกเหมือนเพิ่งหนีออกมาจากถ้ำหมาป่า หันหลังกลับไปเข้าปากเสือ
แต่ในกรณีนี้ ถูกเขาลากเข้าไปโดยไม่พูดอะไร รอบข้างเกิดความวุ่นวาย เธอไม่สามารถวิ่งหนีได้เลย
กู้จื่อเฟยดูสิ้นหวังและห่อเหี่ยวมาก คุณพูดมาเถอะ จะไปต่อหรือถอยหลังก็ตายเหมือนกัน สู้สุดชีวิตจะดีกว่า
เย้นโม่หลินสีหน้าดูขึงขังมาก พูดอย่างชัดเจนและจริงจังเป็นพิเศษ
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นเพราะเธอถอนพิษช้าเกินไปจึงมีผลข้างเคียงตามมา มันเป็นเพราะฉันเลือกที่จะช่วยเย้นหว่านก่อน ถึงทำให้มีผลข้างเคียงที่หลงเหลือไว้ ดังนั้นการถอนพิษให้เธอเป็นเรื่องที่ฉันควรทำ”
ไม่ไกลนัก เย้นหว่านปิดตาด้วยอาการปวดหัวและทนมองต่อไปไม่ได้อีก
พี่ชายของเธอหมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ!เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่นึกว่าจะอธิบายให้กู้จื่อเฟยอย่างเป็นทางการ ใครจะฟังเขาอธิบาย? ชั่วชีวิตนี้ไม่อยากสละโสดรึไง?
กู้จื่อเฟยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มองไปที่เย้นโม่หลินอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ดังนั้นที่เมื่อคืนเธอขืนใจเขา จริงๆ แล้วเป็นเพราะฤทธิ์หลังโดนวางยาพิษเหรอ?
เหตุผลที่เย้นโม่หลินนอนกับเธอก็เพื่อชดเชยความผิดกับเธอเหรอ?
เขาอธิบายให้เธอฟังอย่างชัดเจน ไม่ได้ต้องการคิดบัญชีกับเธอ ที่จริงแล้วก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเธอ ไม่ใช่เพราะเป็นหนี้บุญคุณที่มีต่อกัน ยังไงเรื่องเมื่อคืนนี้ เพราะว่าการเลือกของเขา เธอจึงมีผลข้างเคียง และเพราะว่าเขา เธอจึงสามารถคลี่คลายและเอาตัวรอดออกมาได้
คิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นหนี้บุญคุณต่อกัน เธอไม่จำเป็นต้องให้เขาชดใช้
แต่ทำไมในใจของเธอกลับไม่มีความสุขเลยราวกับคนที่ตายไปแล้ว
กู้จื่อเฟยไม่สามารถขยับปลายนิ้วได้ ดวงตามืดมน น้ำเสียงแข็งทื่อ
“ที่แท้ ที่แท้แล้วเป็นแบบนี้นี่เองสินะ….เหอะๆ งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉัน งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นละกัน อย่าไปสนใจเลย ลืมๆ มันไปก็พอ….”
สีหน้าของเย้นโม่หลินกลับเหงาหงอยลงทันที เขาจับมือของกู้จื่อเฟยไว้แน่น
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? ลืมงั้นเหรอ?
เขาขมวดคิ้วเหมือนมีไฟอยู่หน้าอกและพูดอย่างเคร่งขรึม
“ถ้ามันเคยเกิดขึ้นแล้วก็คือเกิดขึ้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” กู้จื่อเฟยมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เย้นโม่หลินสีหน้าดูขึงขังอย่างมาก เขาพูดอย่างจริงจัง “ฉันรับผิดชอบเธอเอง”
หลังจากชะงักไปสักครู่ เขาก็พูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ถ้าหากเธอยินยอมล่ะก็”