เย้นโม่หลินม่านตาหดเล็ก ยื่นมือไปคว้าแก้วชาในมือของกู้จื่อเฟย มองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง”โดนลวกไปขนาดไหน?”
กู้จื่อเฟยกุมนิ้วมือเอาไว้ ท่าทางน่าสงสาร
“ไม่รู้ เจ็บไปทั้งนิ้วเลย”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วแน่น ลุกขึ้นยืนทันที
กู้จื่อเฟยกุมนิ้วมือ มุมปากกลับยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ มองท่าทางที่จริงจังของเขา เขากำลังจะทายาให้กับเธอด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
พอคิดถึงท่าทางที่เย้นโม่หลินจับนิ้วมือของเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กู้จื่อเฟยก็รู้สึกชอบดีใจอยู่เต็มหัวใจ
เต็มใจที่จะทายาให้เธอด้วยตัวเอง การที่ยอมทำเรื่องแบบนี้ เขาจะต้องมีเธออยู่ในใจแน่นอน
แถมชอบเธอมากด้วย
กู้จื่อเฟยยื่นมือไปข้างหน้าด้วยความดีใจ แต่กลับเห็นแล้วตกตะลึง เย้นโม่หลินหยิบมือถือขึ้นมา โทรออกไป
“ป่ายฉี นายรีบมาที่สวนหลังบ้านเร็วเข้า กู้จื่อเฟยโดนน้ำร้อนลวก”
กู้จื่อเฟยชะงักไปทันที
ไม่คิดว่าเขาจะเรียกป่ายฉี? ให้ป่ายฉีมารักษาให้เธออย่างนั้นเหรอ?
ความชอบดีใจที่อยู่เต็มหัวใจของกู้จื่อเฟย จู่ๆก็หายไป กลับเย็นยะเยือกทันที
“ไม่ต้องแล้ว แค่แผลเล็กๆเท่านั้น ฉันไปแช่น้ำเย็นก็หายแล้ว”
พูดพลาง กู้จื่อเฟยก็ลุกขึ้นยืน กุมนิ้วเดินจากไป
ทั้งตัวเต็มไปด้วยความโกรธและความคับข้องใจที่ระบายออกมาไม่ได้
การทดสอบในครั้งนี้ล้มเหลวไปโดยสิ้นเชิง
เย้นโม่หลินไม่สนใจเธอเลยสักนิด
เธอโดนน้ำร้อนลวกจนเจ็บ เขากลับไม่ได้มองแผลของเธอเลยแม้แต่น้อย
เย้นโม่หลินมองท่าทางที่โมโหของกู้จื่อเฟย สีหน้าอึ้งตะลึง จู่ๆเธอโมโหอะไร?
หรือว่าเจ็บมากเลยอย่างนั้นเหรอ?
เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้น พูดสั่งป่ายฉีในสาย”นายมันหอยทากเหรอ รีบโผล่หัวมาภายในหนึ่งนาทีเดี๋ยวนี้!”
ป่ายฉี”……”จะให้เขาบินหรือไง?!หรือให้กระโดดหน้าต่าง!
เย้นหว่านจ้องมองพี่ชายของตัวเองอย่างอึ้งตะลึง สีหน้าไม่ดี
เขายังจะมาโวยวายใส่ป่ายฉีทำไมในตอนนี้? ควรจะรีบไล่ตามกู้จื่อเฟยไปไม่ใช่หรือไง?
แต่ต่อมา เธอเห็นภาพที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้นไปอีก
เธอเห็นป่ายฉีพุ่งเข้ามาอย่างลนลาน พูดถามขึ้นอย่างตึงเครียด”พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไร?”
แถมใช้เบอร์โทรติดต่อฉุกเฉินอีกด้วย
เย้นโม่หลินสายตานิ่งๆ พูดกำชับ”มือของกู้จื่อเฟยโดนน้ำร้อนลวก นายไปช่วยจัดการให้เธอสักหน่อย”
ป่ายฉี”……”โทรไปเรียกเขามาอย่างฉุกเฉินเพื่อเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?
เขาอยากจะฆ่าคนจริงๆ
เย้นหว่านมองเย้นโม่หลินอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้ถึงจะเข้าใจขึ้นมาว่าอะไรคือ คนไม่เอาถ่าน
ไม่คิดว่ายังเรียกให้ป่ายฉีไปดูเธอแทนตัวเองอีก!
กู้จื่อที่น่าสงสาร ทำไมถึงได้แฟนแบบนี้ด้วย เธอล่ะเกลียดสุดๆ
เย้นหว่านพูดดิ้นรนเฮือกสุดท้าย”พี่ พี่ไม่ไปดูเองล่ะ? พี่ไปดูเอง บางทีจื่อเฟยอาจจะไม่เจ็บขนาดนั้นก็ได้”
เย้นโม่หลินพูดขึ้นอย่างจริงจัง”ไม่ใช่หมอสักหน่อย พี่ไปดูก็ไม่มีประโยชน์”
พูดพลาง เขาก็หันหน้าไปมองป่ายฉี”มัวเหม่ออะไรอยู่? รีบไปเร็วสิ!ปล่อยไว้นานแล้วถ้าพองขึ้นมา นายรับผิดชอบ?”
เหอะ……
ป่ายฉีไฟสุมในทรวง อยากจะบีบคอใครบางคนให้ตายคามือให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
สรุปแล้วเป็นแฟนของใครกันแน่ ทำไมต้องให้เขามารับผิดชอบ!
เย้นหว่านค้ำหน้าผาก หมดคำพูด
เธอมองออก ว่าเย้นโม่หลินสนใจในตัวกู้จื่อเฟยจริงๆ แต่พฤติกรรมที่เขาทำ มันต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ตอนที่แฟนถูกน้ำลวก ก็จะต้องรีบถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย จูบลงไป ทายาด้วยตัวเอง แล้วก็กอดจูบเพื่อปลอบเธอแล้ว
แต่เย้นโม่หลินล่ะ การตอบสนองที่สมเหตุสมผลที่สุด คือการเรียกหมอเนี่ยนะ
เขาเป็นห่วงกู้จื่อเฟย แต่แค่วิธีการ มันเป็นเหตุเป็นผลมากเกินไป ไร้อารมณ์ความรู้สึกสิ้นดี
“เห้อ”
เย้นหว่านถอนหายใจ ผลลัพธ์แบบนี้ จะให้เธอไปบอกกู้จื่อเฟยยังไง?
รู้ว่าแฟนของตัวเองโง่เรื่องความรักแบบนี้ เธอจะรู้สึกหมดอาลัยตายอยากขนาดไหน?
เย้นหว่านไม่รู้ว่าจะพูดยังไงถึงจะเหมาะ ครุ่นคิดอยู่สักพัก กะที่จะรอให้โห้หลีเฉินทำงานเสร็จ แล้วจะไปปรึกษากับเขา
เขาจะต้องคิดหาวิธีที่เพอร์เฟกต์ที่สุดที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายได้แน่ๆ
เป็นอีกคืนที่ไม่ได้นอน
กู้จื่อเฟยนอนอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ
ในหัวมีแต่ท่าทีของเย้นโม่หลินที่มีต่อเธอ รวมถึงท่าทางที่แปลกแยกจากเธอลอยวนไปวนมาอยู่ในหัว
ยืนยันความสัมพันธ์มาสามวันแล้ว แต่ระหว่างพวกเขาก็ยังคงนิ่งดุจผิวน้ำ ไม่พัฒนาขึ้นเลยสักนิด
ก็เหมือนกับคนสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างไรอย่างนั้น
วันนี้ เธอแสร้งทำเป็นเจ็บ ปฏิกิริยาของเย้นโม่หลินก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด เขาดันเรียกให้ป่ายฉีมาจัดการแทน ท่าทีที่มีต่อเธอแบบนั้นมันไม่เป็นห่วงเป็นใยเลยสักนิด
กู้จื่อเฟยเจ็บปวดหัวใจ เธอคิดผิดไปใช่ไหม?
คิดว่าเย้นโม่หลินชอบเธอ ก็เลยรอเขาเข้าหา แต่รอไปเนิ่นนานแล้ว ก็เปล่าประโยชน์
บางที จริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ชอบเธอก็ได้
แต่แค่เพราะว่าความรับผิดชอบ เขาถึงต้องมาคบกับเธอ
ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่มีทางเข้าหาเธอได้แน่นอน ถ้าเธอยังคงรอต่อไป เธอก็จะกลายเป็นคนโง่ที่เสียเวลาไปเปล่าๆ?
หรือว่าบางทีเธอต้องเป็นฝ่ายเข้าหา
แต่เมื่อก่อนที่เข้าหาก็ล้วนแต่เป็นการไล่ตามด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชอบ แต่เรื่องที่เจ็บจากน้ำร้อนลวก จริงๆแล้วมันทำให้ในใจเธอมีขวากหนาม คิดถึงทีไรก็รู้สึกปวดใจ
ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเข้าหา
นอนพลิกตัวไปมา หงุดหงิดต่อไป
หลังจากผ่านไปนาน เธอก็ลุกขึ้นมานั่งที่เตียงทันที ขยี้ผมอย่างหงุดหงิด”ใครบอกไม่มีความรักน่าหงุดหงิด มีความรักแล้วน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า”
เธอลงจากเตียงด้วยความหดหู่ สวมเสื้อตัวนอก แล้วเดินออกไปจากห้อง
นอนไม่หลับ ออกไปเดินเล่นรับลมเย็นๆสักหน่อยอาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดน้อยลงก็ได้
กู้จื่อเฟยลงมาข้างล่าง คิดจะเดินตามทางเดินออกไปข้างนอกบ้านวิลล่า ไปเดินเล่นในสวนหลังบ้าน ระหว่างทาง ก็เดินผ่านห้องสันทนาการชั้นหนึ่ง
กลางดึก ภายในห้องไม่มีใคร น่าจะนอนกันหมด คงไม่มีใครมาที่นี่แล้ว
แต่ในเวลานี้เอง กู้จื่อเฟยกลับสังเกตได้ว่า ข้างล่างของห้องสันทนาการ แอบมีแสงลอดเข้ามา
เธออึ้งตะลึง เต็มไปด้วยความสงสัย และระมัดระวังตัว
ในเวลาแบบนี้ถ้าพูดกันตามหลักแล้วไม่น่าจะมีคนอยู่ในห้องสันทนาการแล้ว หรือว่าตอนที่คนใช้มาทำความสะอาด แล้วลืมปิดประตูเหรอ?
อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
กู้จื่อเฟยครุ่นคิด เดินเข้าไป เปิดประตูออกเบาๆ
ห้องสันทนาการนี้หลักๆแล้วเป็นโรงหนังขนาดเล็ก มีหน้าจอที่ใหญ่มาก แล้วยังมีเก้าอี้นวดสี่ตัวที่วางเรียงกันเป็นแถว
ในเวลานี้ ที่หน้าจอกำลังฉายซีรี่ส์เกาหลี โอปป้ากับออนนี่กำลังจู๋จี๋กันอยู่
บนเก้าอี้นวดแถวแรก มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งตัวตรง เงาหลังที่สูงใหญ่นั้น กู้จื่อเฟยแค่มองก็มองออกแล้ว
จากนั้น เธอก็อึ้งตะลึงไป
ชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงเสียงที่อยู่ตรงประตู รีบหันมามองทันที แสงที่สะท้อนอยู่บนจอ ทำให้เห็นผู้หญิงที่ยืนเหม่ออยู่ตรงประตูอย่างชัดเจน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”คุณมาได้ยังไง?”
กู้จื่อเฟยอึ้งไปสักพัก ก่อนจะดึงสติกลับมา
“ฉัน ฉันนอนไม่หลับ ก็เลยออกมาเดินๆสักหน่อย”
สายตาที่สั่นของเธอ จับจ้องอยู่ที่จอภาพ หันไปเห็นช่วงที่กำลังเปลี่ยนตอนพอดี ถึงตอนที่หกแล้ว
บอกได้ว่า เย้นโม่หลินนั่งดูอยู่ที่นี่มาหกชั่วโมงแล้ว?
ในใจของเธอมีความคิดที่แปลกมากๆโผล่ขึ้นมา พูดถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“คุณมาอยู่ที่นี่ ดู……สิ่งนี้ได้ยังไง?”