แม้ว่าจำนวนคนที่มาร่วมบดขยี้ จะเพิ่มมากกว่าอีกฝ่ายร้อยกว่าคน ในใจของพวกบอดี้การ์ดก็ยังอดไม่ได้ที่จะเริ่มหวาดหวั่น
ชายคนนี้ บรรยากาศรุนแรงทำให้คนหวาดหวั่น
“มัวยืนเหม่อทำอะไรกัน? ลงมือ!”
ท่านฝู้สามตวาดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
แม้ว่าตระกูลฝู้ของพวกเขาเพียงปักหลักยืนให้มั่นโดยอาศัยทรัพย์สินเงินทอง แต่ก็ได้รับความเคารพนับถือตลอดมา ตระกูลใหญ่ปฏิบัติด้วยความนอบน้อม คนในหลายรุ่นก็ไม่เคยได้รับความอัปยศมากเช่นนี้มาก่อน
ความแค้นที่ฆ่าคนและเผาร่างนั้นไม่ได้ชำระ ตระกูลฝู้คือผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เหล่าบอดี้การ์ดเมื่อได้ยินคำสั่ง ก็สำแดงพลังออกมาใหม่อีกครั้ง คนหนึ่งกลุ่ม พุ่งปะทะโห้หลีเฉินจากรอบด้าน
ลักษณะท่าทางดุดัน ต้องการฆ่าคนชดเชยชีวิต
ทันใดนั้นร่างกายเว่ยชีและลูกน้องเกร็งแน่น ต้องเตรียมตัวลงมือ โจมตีกลับ
พอกระบองในมือโห้หลีเฉินขยับ ก็เตรียมตัวลงมือได้
การต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่ กำลังจะเริ่มแสดงแล้ว
คราวนี้ กลับมีน้ำเสียงร้อนใจดังกังวานดังขึ้นมา
“หยุด!”
น้ำเสียงของคนนี้เป็นเสียงที่บรรดาบอดี้การ์ดตระกูลฝู้ที่อยู่ในสนามต่างคุ้นเคย ทั้งยังเป็นที่น่าเคารพและเกรงกลัว
พวกเขาหันกลับมาพร้อมเพรียง มองไปยังท่านเจ้าบ้านฝู้ยวนท่าทางน่าเกรงขามที่ยืนอยู่บนรถชมวิวอย่างฉงน
จะเริ่มต่อสู้แล้ว ตอนนี้เขาบอกให้หยุดทำไม?
สีหน้าเจ้าสามฝู้ทั้งเคร่งขรึมและกระวนกระวาย พูดกับฝู้ยวนอย่างร้อนใจ
“พี่ใหญ่ ฉันรู้ว่าพี่มีจิตใจเมตตา แต่คราวนี้พี่จะมาใจอ่อนไม่ได้!ร่างพี่รองของเราก็ถูกคนเผาอยู่ที่ประตูบ้าน ความอัปยศอดสูใหญ่หลวงเช่นนี้จะอดกลั้นทนรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด “
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ โห้หลีเฉินกับคนพวกนี้จะต้องตาย”
พี่น้องคนอื่นก็เห็นพ้องต้องกัน
ฝู้เหวยข่ายยืนอยู่ด้านข้าง มองฝู้ยวนด้วยสีหน้าคลุมเครือ เห็นเขาจ้องมองโห้หลีเฉินตรงๆ ในใจรู้สึกกระวนกระวายเป็นพักๆ
ฝู้ยวนเป็นท่านเจ้าบ้าน แต่ไหนแต่ไรทางที่ผู้นำก้าวเดินเป็นเส้นทางที่เมตตากรุณา พูดให้น่าฟังคือจิตใจดีงาม พูดให้ไม่น่าฟังคือโง่เขลา
แต่ถึงอย่างไรก็ตามครอบครัวใหญ่โตกิจการยิ่งใหญ่ เลยไม่มีใครกล้าใช้ประโยชน์จากความโอบอ้อมอารีของเขา
แต่ความเคยชินของคนที่มีจิตใจกรุณา ก็ง่ายที่จะใจอ่อน พอใจอ่อน ก็อาจจะปล่อยพวกโห้หลีเฉินก็เป็นได้
กว่าเขาจะได้โอกาสจับตายโห้หลีเฉินกับเย้นโม่หลินนั้นไม่ง่ายเลย คราวนี้หากปล่อยไป เขาทนไม่ได้แน่นอน
ฝู้เหวยข่ายพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“คุณอาทุกท่านพูดได้ถูกต้อง ท่านเจ้าบ้านความแค้นจากการที่ท่านรองตาย ซ้ำยังถูกเผาร่างทั้งเป็น กลัวว่าไปถึงนรกภูมิคงจะตายตาไม่หลับ
ท่านอาเป็นพี่ใหญ่ที่เขาเคารพรักมากที่สุด จะต้องแก้แค้นให้ท่านรองได้แน่
ตอนนี้พวกโห้หลีเฉินกำเริบเสิบสานขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตระกูลฝู้ของเราอยู่ในสายตา ตอนนี้กล้าฆ่าท่านรอง จากนั้นก็คงกล้าฆ่าคนอื่นในตระกูลฝู้ของเราต่อ รวมถึงท่านเจ้าบ้าน……”
ฝู้เหวยข่ายพูดจนถึงสุดท้าย ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่ว่าแม้จะไม่ได้พูดจนจบ แต่กลับสื่อความหมายได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
คนที่อยู่ในสถานะสูงส่ง สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการยั่วยุเช่นนี้
ยังไงก็ต้องเลือกเห็นด้วย การสั่งลงมือเป็นเรื่องที่ยังไงก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
ทุกคนต่างมองฝู้ยวนอย่างรอคอยและขุ่นเคือง รอเสียงเขาออกคำสั่ง กำจัดพรรคพวกโห้หลีเฉินทั้งหมดให้หมดสิ้น
ใบหน้าฝู้ยวนสีดำคล้ำ ดูน่าเกลียดอย่างมาก
เขาด่าเสียงดังด้วยความโกรธ “พวกนายหุบปาก!”
สี่พี่น้องตระกูลฝู้ “……”
ฝู้เหวยข่าย “……”
บรรดาบอดี้การ์ด “……”
แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อ คำพูดประโยคนี้ของท่านเจ้าบ้าน กำลังว่าพวกเขา? ให้พวกเขาหุบปากงั้นเหรอ?
นี่นี่นี่ เป็นไปไม่ได้มั๊ง
ปฏิกิริยาโต้ตอบของทุกคนยังคงตกตะลึงอยู่ ก็เห็นฝีเท้ารีบเร่งของฝู้ยวนลงจากรถชมวิว เดินไปหาโห้หลีเฉินด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
เจ้าสามฝู้เห็นการกระทำนี้ของเขา เลยรีบไปขวางเขาไว้
“พี่ใหญ่ พี่อย่าไป อันตราย”
“หลบไปเถอะ ขืนทะเลาะต่อไป ตระกูลฝู้ของเราจะเป็นอันตรายจริงๆ “
ฝู้ยวนผลักเจ้าสามฝู้ออกด้วยท่วงทีเด็ดขาดที่ไม่เคยปฏิบัติกับพี่น้องมาก่อน
เขาเดินไปข้างหน้าโห้หลีเฉินอย่างเร่งรีบ
เว่ยชีขวางอยู่ข้างหน้าอย่างระแวดระวังทันที ท่าทีโหดเหี้ยม เตรียมพร้อมลงมือตีเขาให้ตายด้วยกระบองได้ทุกเมื่อ
ฝู้ยวนพูดอย่างรีบร้อน
“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย”
เขาหยุดอยู่ห่างห้าเมตร มองโห้หลีเฉินด้วยแววตาเปล่งประกาย ถามด้วยความตื่นเต้นพลางกังวล
“ไม่ทราบว่าคุณชาย ชื่อว่าโห้หลีเฉินหรือเปล่าครับ?”
โห้หลีเฉินกำลังประเมินฝู้ยวน จากนั้น พิงอยู่หน้ารถอย่างขี้เกียจ มุมปากยกยิ้มขึ้นด้วยความเย้ยหยัน
ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ต้องลงแรงแล้ว
เขาพูดตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่”
“งั้นขอถามว่าคุณเป็นผู้สืบทอดตระกูลหยู ใช่ไหม?” น้ำเสียงของฝู้ยวนยิ่งระมัดระวังและตื่นเต้นมากขึ้น
โห้หลีเฉินหรี่ตาลง แล้วเข้าใจได้ในชั่วพริบตา
สาเหตุที่จู่ๆ ฝู้ยวนเปลี่ยนท่าที เป็นเพราะจดจำสถานะของเขาที่ตระกูลหยูได้
แต่ว่ามองที่ใบหน้าแก่อายุราวห้าสิบกว่าปี เขากลับไม่มีภาพความทรงจำที่เคยพบเจอมาก่อนเลย
โห้หลีเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “คุณเป็นใคร?”
วิธีการถามแบบนี้ ทำให้หัวใจของฝู้ยวนรู้สึกเย็นวาบขึ้นทันที หนาวเย็นทั่วไปหมด
โห้หลีเฉินถามแบบนี้ได้ เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ แล้วว่าเขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลหยู เป็นว่าทีท่านเจ้าบ้านคนนั้น
ส่วนที่เขาถาม นอกจากตระกูลฝู้ท่านเจ้าบ้านของเขาแล้ว สถานะอื่นๆ หรือก็คือความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหยู
ฝู้ยวนโค้งตัวเก้าสิบองศาในทันที ท่าทีแสดงความเคารพอย่างสูง
“คุณโห้ ผมเคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหยูมาก่อน ตระกูลฝู้ถึงได้ฟื้นคืนจากที่อับจนหนทางได้ ส่วนที่ตระกูลฝู้พัฒนามาจวบจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหยู
หากซักไซ้ขึ้นมา ตระกูลฝู้ ก็เป็นตระกูลห่างๆ ไม่สำคัญเป็นแค่กิ่งก้านหนึ่งของตระกูลหยูเท่านั้นเอง
ต่อหน้าตระกูลหยู ตระกูลฝู้ถือว่าเล็กมาก ฉะนั้นคุณไม่รู้จักผม ก็เป็นเรื่องที่สมควร ตอนที่ผมไปที่ตระกูลหยูครั้งหนึ่ง เคยมองเห็นคุณจากไกลๆ ใบหน้าที่ดูสูงศักดิ์และสมบูรณ์แบบของคุณ ทำให้ผมจำได้ตลอดไม่เคยลืม
ผมอยากจะพบคุณมานานแล้วครับ”
น้ำเสียงและท่าทีของเขา นอบน้อมเป็นอย่างมาก เป็นลักษณะท่าทีของคนใช้อย่างสมบูรณ์แบบ
คนในตระกูลฝู้ทั้งหมด ต่างตกตะลึงกันหมด
แต่ละคนแข็งทื่อเป็นก้อนหินแล้ว มองไปยังท่านเจ้าบ้านตัวเองอย่างอ้าปากตาค้าง หัวสมองที่ตกใจไม่ทำงาน ยิ่งทำให้พูดไม่ออก
นับตั้งแต่ฝู้ยวนดำรงตำแหน่งมา ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว เขาโอบอ้อมอารี แต่กลับเปล่งรัศมีที่มีอำนาจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาก้มหัวให้ใครมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความนอบน้อม
เขาเป็นเสมือนเทพเจ้าที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เป็นความเลื่อมใสศรัทธา
แต่ทว่าในตอนนี้ พวกเขากลับเห็นท่านเจ้าบ้านของตัวเอง เทพเจ้าของตัวเอง ความเลื่อมใสศรัทธาของตัวเองกำลังก้มตัวโค้งให้ชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ นอบน้อมจนเป็นโคลน
อีกนิดฝู้เหวยข่ายจะระเบิดแล้ว แทบอยากจะจิ้มดวงตาทั้งสองข้างของตัวเองให้ตาบอด เพื่อจะแสดงว่าไม่เคยพบเห็นภาพฉากนี้มาก่อน
ความเกลียดชังที่เขามีต่อโห้หลีเฉินนั้นทำให้เขามีปฏิกิริยาโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว พูดอย่างร้อนใจขึ้น
“ท่านเจ้าบ้าน ท่านจำคนผิดไปหรือเปล่า? ตามที่ผมรู้ เขาเป็นเพียงประธานของโห้ถิงเท่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ก็ถูกผมโจมตีจนแทบจะล้มละลาย
เขาไม่มีพื้นเพเบื้องหลังอะไรเลย ทำไมถึงเป็นตระกูลเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนพวกเราล่ะ?!”
เขาไม่เชื่อ
เบื้องหลังตระกูลฝู้นั้นได้รับความช่วยเหลือ เรื่องนี้เขาก็พอได้ยินมาบ้าง แต่นอกจากฝู้ยวนแล้ว ใครก็ไม่รู้ว่านั่นคือตระกูลอะไร
จนถึงตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะได้รู้ นั่นคือตระกูลหยู