บทที่9 ราวกับว่าจะจูบเข้ามาทุกเมื่อ
เย้นหว่านแนบชิดกับผนัง มองผู้ชายสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยจิตใจว้าวุ่น เธอเปิดปากพูดด้วยความตื่นเต้น
“ฉันรอตั้งนานคุณไม่กลับมา ฉันก็เลยกลับบ้านก่อนค่ะ”
รอตั้งนาน? สายตาโห้หลีเฉินเริ่มมืดมน เมื่อคืนออกไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับไปแล้ว
แต่พอกลับไปผู้หญิงคนนี้กลับไม่อยู่แล้ว ไอ้ที่เธอว่านานเนี่ย คงรอไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำมั้ง?
เขาไม่ได้เปิดโปงเธอ แต่ก้มหน้ามองช่วงล่างเธอ เนื้อผ้าบางเบามาก
วันนี้ความรู้สึกที่ใช้มือสัมผัสเธอคงไม่ผิดพลาดแน่ “งั้นก็ทำเรื่องเมื่อคืนต่อ”
มือข้างนึงของโห้หลีเฉินกั้นไว้ที่ผนัง อีกข้างก็โอบร่างที่บอบบางของเธอไว้ในอ้อมอก
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยฮอร์โมนเพศชายฟุ้งมาที่หน้า ทันใดนั้นร่างกายของเย้นหว่านแข็งทื่อ
แค่เสี้ยววินาทีภาพกุ๊กกิ๊กของเมื่อคืนก็โผล่ขึ้นมาในสมองของเธอ
อยู่ออฟฟิศจะต่อได้ยังไง? อีกอย่างความสัมพันธ์ของเขาสองคนแค่หมั้นกันหลอกๆ
เธอไม่ทำเรื่องแบบนั้นกับเขาหรอก
“ที่นี่คือบริษัท คุณอย่ามาซี้ซั้วนะ”
เย้นหว่านกลัวจะแย่อยู่แล้ว เธอผลักโห้หลีเฉินออกและวิ่งไปข้างๆ เดิมทีเธออยากวิ่งออกไปโดยตรง
แต่กลับเดินไปทิศทางที่กลับกัน ด้านหลังมีแต่ผนังและโต๊ะทำงาน
โห้หลีเฉินเห็นในอ้อมอกว่างเปล่าแล้วเริ่มหมดความอดทน “คุณมาให้ความร่วมมือผมเดี๋ยวนี้”
“คุณโห้คะ ความสัมพันธ์ของเราตกลงกันแค่หมั้นกัน เรื่องอื่นฉันมีสิทธิ์ไม่ให้ความร่วมมือได้ทั้งนั้น
ถ้าคุณยังขอร้องเรื่องที่ไม่มีเหตุผลต่ออีก ฉันก็จะสิ้นสุดข้อตกลงที่หมั้นกับคุณ”
ท่าทางที่ปฎิเสธอย่างหนักแน่นของ เย้นหว่าน สายตาที่มองโห้หลีเฉินเต็มไปด้วยการตักเตือน
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วและรู้สึกหดหู่ ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักให้ความร่วมมือนะ?
ถ้าเป็นคนธรรมดา เขาไม่คำนึงอะไรก็จับมาพิสูจน์แล้ว แต่ เย้นหว่านมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้หญิงคืนนั้น
เขาไม่อยากทำให้เธอตกใจ เงียบขรึมไปครู่นึง โห้หลีเฉินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุยเรื่องงานเถอะ”
ที่นี้เย้นหว่านถึงโล่งอกไปที แต่เธอก็ยังยืนห่างจากโห้หลีเฉินมากอีกเช่นเคย
ถ้ารู้ว่าท่านประธานจะกลายมาเป็นโห้หลีเฉิน เธอตายก็ไม่เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้
แต่ตอนนี้ถูกคัดเลือกแล้ว กลับเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้หลุดพ้นจากการเป็นเด็กใหม่
ถ้าไม่คว้าไว้เธอก็รู้สึกเสียดาย
ลังเลไปสามนาที เย้นหว่านเปิดปากพูดอย่างสุภาพเรียบร้อย
“คุณโห้คะ เสื้อผ้าเซตนี้ของคุณมีฉันเป็นคนออกแบบ คุณมีความต้องการอะไรบอกฉันมาได้เลยค่ะ”
“ผมจะให้เว่ยชีส่งสไตล์การแต่งตัวและความชอบของผมให้คุณ”
โห้หลีเฉินพูดเออออไป เขาไม่ค่อยมีความสนใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่
การออกแบบชุดของท่านประธานครั้งนี้ คือท่านประธานคนก่อนจัดทำทำขึ้นมา
ตอนนี้เขารับช่วงต่อก็เพื่อจะทดสอบเย้นหว่านเฉยๆ “ได้ค่ะ ไม่มีธุระแล้วดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เย้นหว่านอดใจรอไม่ไหวที่อยากจะออกไป ผ่านเรื่องเมื่อคืนมา ตอนนี้เธอแค่เผชิญหน้ากับโห้หลีเฉิน
ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น มองดูเย้นหว่านจะไป โห้หลีเฉินหรี่ตาลงแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“คุณเย้น คุณควรจะวัดตัวให้ผมหน่อยมั้ย?”
“ที่เว่ยชีน่าจะมีข้อมูลอยู่มั้งคะ” โห้หลีเฉินเม้มปากเล็กน้อย
“เสื้อผ้าของผมต้องดูดีเป๊ะๆ ไซส์จะคลาดเคลื่อนไม่ได้แม้แต่นิด”
เย้นหว่านมองผู้ชายที่ทำเหมือนพูดจาสมเหตุสมผลคนนี้แล้ว เธอแขวะอยู่ในใจ นี่จู้จี้จุกจิกเกินไปรึเปล่า?
ในฐานะที่เป็นดีไซน์เนอร์ เรื่องวัดตัวแบบนี้เธอก็ทำมาเยอะแล้ว บอกได้ว่าถนัดมากแล้ว
แต่ตอนที่เผชิญ หน้ากับโห้หลีเฉิน มือที่จับสายวัดของเธอกลับกระสับกระส่ายเหมือนมือใหม่
กลิ่นไอของผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป เข้าใกล้เขาแล้วรู้สึกหัวใจว้าวุ่น กว่าจะวัดช่วงไหล่ของโห้หลีเฉิน
เสร็จไม่ใช่ง่ายๆเลย เย้นหว่านอ้อมมาที่ตรงหน้าเขา มองเขาและพูดอย่างตกที่นั่งลำบาก
“รบกวนยกแขนหน่อยค่ะ ฉันจะวัดช่วงเอว” โห้หลีเฉินยืนตัวตรงและยกแขนขึ้นเล็กน้อย
ใบหน้าที่หล่อเหลากลับไม่ได้มีสีหน้าอะไรมากนัก สีหน้าก็ยังเรียบเฉยเหมือนเดิม เห็นเขาเป็นแบบนี้
อาการเกร็งของเธอถึงน้อยลง ในใจคอยปลอบตนเองตลอดว่าเธอกำลังวัดตัวให้คนธรรมดาคนนึงเฉยๆ
เธอยื่นสายวัดผ่านช่วงเอวเขา มืออีกข้างก็ดึงกลับมา ถึงแม้ไม่ได้สัมผัสโดนตัวจริงๆ
แต่ร่างกายของเธอกลับใกล้ชิดกับเขามาก ใกล้จนทำให้เธอหัวใจว้าวุ่นและสับสน เธอไม่กล้าคิดมาก
ดึงสายวัดได้ก็กะจะถอยหลัง ในขณะนี้จู่ๆโห้หลีเฉินกลับเดินไปข้างหน้าก้าวนึง ร่างกายของทั้งสองก็ชนเข้ากัน
เย้นหว่านถอยหลังอย่างควบคุมไม่อยู่ ช่วงเอวกลับมีแขนที่แข็งแรงโอบเธอไว้ ตรงหน้า
ใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายใกล้เข้ามาชิดมาก เหมือนลมหายใจที่ร้อนระอุเหมือนฟุ้งอยู่ใบหน้าเธอหมด
สายตาที่เขามองเธอยิ่งอยู่ยิ่งมืดสลัว ริมฝีปากที่ใกล้กันมาก ราวกับว่าจะเข้ามาทุกเมื่อ