ทั่วทั้งร่างเย้นโม่หลินแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ลมหายใจร้อนผ่าว ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยท่ามกลางความมืด
แต่กู้จื่อเฟยยังคงไม่พอใจ พึมพำว่า
“พี่เย้น นอนแบบนี้ไม่สบาย พี่ยกแขนขึ้นมาวางตรงคอของฉัน เป็นหมอนให้ฉันหน่อย”
เย้นโม่หลิน “……”
เขายกแขนที่แข็งทื่อขึ้นมา ศีรษะเล็กๆวางลงบนนั้นทันที
ส่วนร่างกายของเธอก็โน้มตามมาด้านหน้า ส่วนที่อ่อนนุ่มล้วนแนบชิดอยู่ที่ข้างกายเขา
เขารู้สึกถึงส่วนโค้งเว้านุ่มนิ่มบนร่างกายเธอได้อย่างชัดเจน ความอุ่นร้อนนั้นก็ส่งผ่านเสื้อผ้ามาบนผิวหนังของเขา
เห็นได้อย่างชัดว่าเป็นความอุ่น แต่กลับเหมือนกับเปลวไฟที่ร้อนลวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
เย้นโม่หลินรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่า ลมหายใจของเขาใกล้จะร้อนเป็นไฟแล้ว ความสามารถในการควบคุมตนเองที่ตนเองภาคภูมิใจก็ใกล้จะปริแตกออกมาได้ในทุกนาที ทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นอสูรร้าย ทำเรื่องราวหุนหันพลันแล่นบางอย่าง
กู้จื่อเฟยกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังจุดประกายไฟ นิ้วก้อยที่แตะอยู่เหนือแผงอกเย้นโม่หลินวาดเป็นวงกลมเบาๆ
เธอเอ่ยเสียงเบา “พี่เย้น ได้อยู่กับพี่แบบนี้โดยมีทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่เบื้องหน้านั้น ทำให้ฉันควบคุมตัวเองไม่อยู่จนอยากจะกินพี่ขึ้นมา ทำอย่างไรดีคะ”
เย้นโม่หลินราวกับถูกไฟดูด ร่างกายที่แข็งทื่อนั้นสั่นเล็กน้อย
เขาต่างหากที่จะควบคุมไม่อยู่แล้ว
เขากำหมัดแน่น เสียงทุ้มต่ำเป็นอย่างมาก เอ่ยคำสองคำออกมาจากริมฝีปากด้วยความยากลำบาก
“สงบจิตสงบใจ”
ท่ามกลางความมืด นัยน์ตากู้จื่อเฟยกลอกไปมา มุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนั้นคล้ายกับจิ้งจอก
ถึงตอนนี้แล้ว เขากลับยังสามารถพูดว่าให้สงบจิตสงบใจออกมาได้อีก?
เหตุใดการกระทำที่คร่ำครึของพี่เย้นของเธอถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ?
เธอเอ่ยเสียงเบาว่า “ฉันสงบใจไม่ไหวแล้ว”
เย้นโม่หลิน “……”
เขารู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มในอ้อมแขน คำพูดดึงดูดใจข้างหู อสูรร้ายในร่างกายของเขาก็เกือบจะคำรามและพุ่งหลุดออกมาจากกรงขังแห่งการควบคุมตัวเองแล้ว
เขาสูดลมหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่า
“สงบจิตสงบใจอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินเสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงข้างหู กู้จื่อเฟยก็ยิ้มและจนปัญญา
ดูท่าคืนวันนี้ก็คงจะไม่สำเร็จ ไม่อาจทำลายแนวป้องกันของพี่เย้นได้
เพียงแต่ว่า ก็มีความก้าวหน้า พยายามจนได้รางวัลเป็นการนอนด้วยกันทุกวันจนถึงเช้ามา ทำให้ในใจของเย้นโม่หลินยอมรับการนอนร่วมเตียงเคียงหมอนของพวกเขาได้แล้ว
ได้นอนด้วยกันแล้ว ระยะห่างที่จะได้กลืนกินเขาเข้าปาก ยังจะไกลอีกหรือ?
กู้จื่อเฟยยิ้มเริงร่า ราวกับจิ้งจอกที่เห็นเนื้อติดมันชิ้นโต
……
สถานที่พักเจ้าหน้าที่ของเย้นโม่หลินอยู่ห่างจากเย้นหว่านอยู่มาก มีความแตกต่างทางด้านระยะเวลาไม่น้อย
อย่างน้อยทางฝั่งที่เย้นโม่หลินอยู่ก็เป็นเวลาเข้านอนแล้ว
ทางด้านเย้นหว่าน ฟ้าเพิ่งจะมืด และกำลังกินอาหารมื้อเย็น
เธอกดวางการโทรศัพท์แบบวิดีโอคอลแล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เธอยังอยู่บนโต๊ะกินข้าว คนที่เหลืออีกสามคนล้วนมองมาที่เธอ
คิดถึงเนื้อหาทะลึ่งตึงตังในระหว่างที่วิดีโอคอลเมื่อสักครู่นี้แล้ว เย้นหว่านก็หน้าแดงระเรื่อเขินอายขึ้นมาทันที จึงรีบวางโทรศัพท์มือถือลง
เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฮ่าๆ พี่ชายฉันปลอดภัยดี ฉันก็วางใจเช่นกัน พวกคุณรีบกินข้าวเถอะค่ะ กินข้าว กินกันต่อเลย”
จู่ๆโห้หลีเฉินก็เขยิบเข้ามาใกล้เธอ ร่างกายสูงใหญ่แทบจะโอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด
ริมฝีปากบางของเขาอยู่ข้างใบหูเธอ พ่นลมหายใจร้อนเบาๆ
“ก่อนนอนออกกำลังกายให้มากหน่อย ร่างกายจะได้แข็งแรง?”
เขาเพิ่มคำว่าก่อนนอนสองคำนี้เป็นพิเศษ ความหมายนั้นตรงไปตรงมาจนทำให้คนคิดจะแกล้งโง่ก็ไม่สามารถทำได้
เย้นหว่านเขินอายเสียจนเกือบจะจับตะเกียบไม่อยู่ แก้มแดงระเรื่อจนสามารถเห็นได้ชัด
เธอรีบผลักโห้หลีเฉินออก เอ่ยด้วยความเขินอายปนโกรธ
“ฉันพูดถึงพี่ชายของฉันต่างหากค่ะ”
รอยยิ้มที่มุมปากโห้หลีเฉินชัดเจนกว่าเดิม แววตาสงบนิ่งสีนิลราวกับอาบย้อมไปด้วยความร้อนแรง
สายตาแบบนั้น เจือไปด้วยความรู้สึกอันตรายจากการถูกรุกรานที่เย้นหว่านคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
น้ำเสียงเขาแหบพร่า “สำหรับพวกเราก็น่าจะเหมาะสม ไม่สู้คืนวันนี้มาลองดูกัน?”
เรื่องพวกนี้ยังสามารถลองดูได้ด้วย?
นี่เขาเพียงแค่เปลี่ยนลูกไม้เพื่อจะหลอกกินเธอต่างหาก
เย้นหว่านเขินอายจนเกือบจะหารอยแยกบนพื้นแล้วมุดเข้าไป ทำไมพี่ชายเธอถึงได้ซื่อสัตย์ ปฏิบัติหน้าที่ในสิ่งที่พึงกระทำ ยั่วอย่างไรก็ยั่วไม่ขึ้น พอมาถึงโห้หลีเฉินกลับกลายเป็นยั่วขึ้นง่ายขนาดนี้กัน?
อีกทั้งยังเย้าแหย่ด้วยหัวข้อในการสนทนานี้ต่อหน้าคนอื่นด้วย
เย้นหว่านหน้าแดงหัวใจเต้นเร็วจนแทบทนไม่ไหว ทิ้งตะเกียบลงแล้วรีบลุกขึ้นทันที นัยน์ตาไหวระริกนั้นไม่กล้ามองไปที่ใครสักคน
“ฉันกินอิ่มแล้ว พวกคุณค่อยๆกิน ค่อยๆคุยกันไปนะคะ ฉันจะกลับไปที่ห้องก่อน”
เอ่ยจบแล้ว เธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังหลบหนีอย่างไรอย่างนั้น
สายตาโห้หลีเฉินมองแผ่นหลังเธอเงียบๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ต้องได้รับการปลดปล่อย
เขาเอ่ยยิ้มๆว่า “รอผมที่ห้อง”
เย้นหว่านที่กำลังหลบหนีเดินเซจนเกือบจะหกล้ม
นี่มันมีความนัยซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ชัดๆ ทั้งคำพูดและนัยล้วนบอกเป็นนัยให้คนเขินอาย
ทำไมโห้หลีเฉินถึงได้ทะลึ่งตึงตังขนาดนี้กัน
เมื่อเห็นเย้นหว่านวิ่งจากไปไกลจนกระทั่งเงาก็ไม่เห็นแล้ว โห้หลีเฉินถึงได้หันหน้ากลับมามองผู้อาวุโสอีกสองคน
บนใบหน้าปรากฏความสงบนิ่งเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา ราวกับไม่ใช่คนเดียวกับที่เติมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟเมื่อครู่นี้
เขาเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย
“พวกคุณอยากจะพูดอะไร เลือกพูดในเรื่องสำคัญ”
เมื่อจัดการเสร็จแล้ว เขาก็จะไปหาเย้นหว่าน ที่ยั่วยวนนั่นเป็นเรื่องจริง ที่จะกินเธอก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
เรื่องอย่างการมีลูกก็ถึงกำหนดที่จะต้องพูดคุยกันแล้ว
สำหรับเรื่องนี้เขาไม่สามารถแพ้ให้กับเย้นโม่หลินจอมซื่อบื้อคนนั้นได้
ท่านอาวุโสรองกับท่านอาวุโสแปดมองมาทางโห้หลีเฉินอย่างตกตะลึง ยังไม่ทันได้สติคืนกลับมาจากบรรยากาศอันคลุมเครือไม่ชัดเจนเมื่อสักครู่นี้
สามารถมองออกเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับคุณเย้นนั้นดีมากจริงๆ รักกันมากจริงๆ
พวกเขาผู้ชราที่ดูอยู่ล้วนพากันอิจฉาแล้ว
ท่านอาวุโสแปดฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“หลังจากที่ตระกูลได้ประชุมแบบเปิดกว้างในเช้าวันนี้แล้ว ท่านผู้นำตระกูลก็เคลื่อนย้ายกำลังคนเป็นจำนวนมาก กำลังเตรียมตัวโจมตีตระกูลเย้นแล้วครับ”
ดูท่าจะรู้ว่าไม่มีหวังในการตามฆ่าเย้นโม่หลิน จึงวางแผนที่จะลงมือโจมตีตระกูลเย้นก่อนที่เย้นโม่หลินจะกลับตระกูล
โห้หลีเฉินพยักหน้า “ยังไม่ต้องลงมือทำอะไร เฝ้าสังเกตเอาไว้ตลอดเวลาก็พอ”
“ครับ”
ท่านอาวุโสรองเอ่ยต่อว่า “นายน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”
“หลังจากที่ตระกูลประชุมแบบเปิดกว้าง ท่านอาวุโสเจ็ดก็ให้การสนับสนุนพวกเรา จึงทำให้ผู้นำตระกูลโมโห เดิมผู้นำตระกูลได้สั่งลงมาแล้วว่า วางแผนจะจัดการท่านอาวุโสเจ็ดเป็นการส่วนตัว
แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆผู้นำตระกูลถึงได้เปลี่ยนความคิด ไม่ได้แตะต้องท่านอาวุโสเจ็ดอีก”
เดิมพวกเขาวางแผนที่จะปรึกษากับนายน้อยว่าจะช่วยเหลือท่านอาวุโสเจ็ดอย่างไร หรือไม่ก็ดึงเขาเข้ามาเป็นพวกเดียวกัน
โห้หลีเฉินนั้นไม่รู้สึกประหลาดใจอะไร “คุณอยากจะรู้เหตุผล?”
“นายน้อย คุณรู้เหตุผลหรือครับ” ท่านอาวุโสรองตื่นตะลึง เลื่อมใสศรัทธาในตัวโห้หลีเฉินมากขึ้นไปอีก “อย่างนั้นคุณรีบเล่าให้ผมฟังเถอะครับ สมองของผมนั้นคิดไม่ออกจริงๆว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร”
ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ท่านอาวุโสเจ็ดที่มองดูแล้วคล้ายกับคนสมถะ จะแอบซ่อนความสามารถอะไรเอาไว้กันแน่
ยิ่งไม่รู้เลยว่า เขาเป็นมิตรหรือว่าศัตรู
โห้หลีเฉินยกมุมปากยิ้มเย็น เอ่ยช้าๆว่า
“ท่านอาวุโสเจ็ด เป็นศัตรูไม่ใช่มิตร”
ท่านอาวุโสรองกับท่านอาวุโสแปดมีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
เมื่อผ่านเรื่องราวในวันนี้ไป พวกเขาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่านอาวุโสเจ็ดไม่ธรรมดา ถ้าหากว่าเขาเป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร อย่างนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากตึงมือเป็นอย่างมาก
ท่านอาวุโสรองรีบเอ่ยถามว่า “นายน้อย คุณรู้เรื่องท่านอาวุโสเจ็ดว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่ใช่ไหมครับ เขาเป็นคนของผู้นำตระกูลหรือ”
“ถ้าหากว่าเขาเป็นคนของผู้นำตระกูล ตอนที่ประชุมแบบเปิดกว้างก็คงไม่ออกเสียงให้กับผมหรอก”
โห้หลีเฉินหรี่ตาลง สายตาคมกริบนั้นเจือไปด้วยแววซับซ้อน
เขาเอ่ยต่อว่า