พวกเขาเห็นเย้นโม่หลินอุ้มกู้จื่อเฟยที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกลับมา ทันใดนั้นสีหน้าแต่ละคนแตกต่างไปตามที่ตัวเองคิด แต่กลับล้อมรอบไว้โดยไร้ความเห็นอกเห็นใจ
พวกเขาขวางเย้นโม่หลินไว้ ต่างคนต่างพูดโน้มน้าว
“นายน้อย โปรดหยุดก่อน ให้กู้จื่อเฟยเข้ามาในลานใหญ่ไม่ได้นะครับ”
“ใช่แล้ว เธอเข้าไปไม่ได้ ตัวเธอคือดาวหายนะ ตอนนี้ยังมีเลือดตามตัวอีก โชคร้ายจะยิ่งรุนแรง ถ้าขืนเข้าไปในลานใหญ่แบบนี้ จะกระทบการพักรักษาตัวของผู้นำตระกูลให้รุนแรง”
“ตอนนี้ร่างกายผู้นำตระกูลทรงตัวขึ้นมาได้หน่อยอย่างยากลำบาก จะให้เธอเข้าไปสร้างหายนะอีกไม่ได้นะ”
พวกเขาต่างแสดงท่าทีกังวลเพื่อให้เป็นผลดีต่อตระกูลเย้น อ้างเหตุผลว่ากู้จื่อเฟยเป็นดาวหายนะ เป็นตัวซวย
เสียงดังจอแจเข้าไปในหู ทำให้กู้จื่อเฟยขมวดคิ้วอย่างไม่สบาย จากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เธอมองด้านข้าง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
ข้างหู ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์และเจตนาชั่วร้ายของพวกเขาที่มีต่อเธอ
คำพูดพวกนี้ สองสามวันมานี้เธอได้ยินมาไม่น้อย แทบจะทั้งวันที่ต้องได้ยินคำซุบซิบนินทาแบบนี้
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า เธอเป็นถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขายังไม่ยอมปล่อยเธอ ยังพูดต่อว่าต่อขานอยู่อีก ถึงขนาดที่ไม่ให้แม้แต่โอกาสเธอได้รักษาบาดแผล
หัวใจก็รู้สึกอึดอัดใจและโกรธ กู้จื่อเฟยรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายยิ่งขึ้นในทันที เจ็บจนเธอแทบจะทนไม่ไหว
เธอมองเย้นโม่หลินด้วยแววตาสั่นเครือยิ่งกว่าเดิม หัวใจเต้นรัวสับสนและกระวนกระวายใจ
ญาติพี่น้องทางสายเลือดของทั้งตระกูลเย้นต่างเอ่ยโน้มน้าว บอกว่าเป็นแบบนี้แบบนั้นของทฤษฎีดาวหายนะนั่น เย้นโม่หลินจะคิดยังไง ทำยังไง?
เขาก็จะคิดว่าเธอเป็นดาวหายนะ เป็นตัวซวยไหม
จะคิดว่าเธอเป็นคนทำให้เกิดขึ้นไหม?
“หุบปากให้หมด”
เย้นโม่หลินสบถคำด่าอย่างเย็นชา สายตาเย็นเป็นน้ำแข็งกวาดมองใบหน้าทุกคนที่พูด
สายตาที่เสมือนความหนาวเย็นนั่น ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เหมือนเข้าไปอยู่ในเดือนสิบสองแห่งฤดูหนาวแล้ว ใต้ฝ่าเท้าเกิดความหนาวเย็น
เย้นโม่หลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น
“ใครเป็นคนพูดว่าเธอเป็นตัวหายนะ? ก้าวออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงนั่น ต้องการสืบหาความรับผิดชอบให้เหมาะสม
ทุกคนต่างตกอกตกใจ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วก็ไม่ได้ทำให้เย้นโม่หลินทิ้งกู้จื่อเฟยไป กลับกันเย้นโม่หลินกลับต้องการถามหาความรับผิดชอบจากพวกเขาด้วยซ้ำไป?
และท่าทางนั้น ต่อให้เป็นพวกเขาทุกคนก็ต้องรับโทษไปด้วยกัน
หลายปีมานี้ พวกเขารู้ฝีมือของเย้นโม่หลินเป็นอย่างดี ถ้าหากให้เขาเป็นคนลงโทษด้วยตัวเอง ไม่ตายก็เรียกว่าเทวดาแล้ว
ทุกคนต่างหวาดผวาความอันตรายโดยอัตโนมัติในทันที ไม่กล้าเดินก้าวไปข้างหน้า
น้ำเสียงที่เบาลงไม่กล้าเสียงดังอีกดังขึ้นในกลุ่มคน
“ไม่ใช่ฉันนะ ฉันได้ยินคนพูด”
“ในตระกูลต่างก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น”
“ฉันก็ได้ยินคนพูดมา……”
พอถามหาความรับผิดชอบ ต่างก็เริ่มปฏิเสธ
เย้นโม่หลินจ้องมองคนกลุ่มนี้อย่างเย็นชา สายตาเย็นเฉียบจนถึงขีดสุด
เขาไม่รู้เลย ว่าตระกูลเย้นเลี้ยงแมลงเยอะขนาดนี้ไว้ภายในบ้าน
“หึ”
เย้นโม่หลินยิ้มเย็น สายตาเยือกเย็นเสมือนเทพแห่งความตายย่างกรายมาถึง “ในเมื่อไม่มีคนยอมรับ ฉันก็จะสืบหาจนถึงที่สุด! ว่าใครเป็นคนพูด ใครเคยพูดไว้บ้าง แม้แต่คนเดียวก็หนีไม่รอด”
ก่อนหน้านี้ เขายังไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องดาวหายนะนี้
แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่ปฏิกิริยาโต้ตอบไวมาก เห็นลักษณะท่าทีคนกลุ่มนี้ ก็เดาได้ว่าสองสามวันนี้กู้จื่อเฟยถูกพวกเขาบีบคั้นยังไง
มิน่าสองสามวันนี้ เขายุ่งจนปลีกตัวออกไปไหนไม่ได้ แต่กู้จื่อเฟยกลับไม่เคยไม่มาหาเขาเลย
แม้แต่เจียงเป้ยนีก็วิ่งมาส่งข้าวส่งน้ำให้เขา แต่กู้จื่อเฟยที่รักเขามาตลอดกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ เกรงว่าจะไม่ใช่กู้จื่อเฟยไม่อยากมาหา แต่คนพวกนี้ก่อกวนขัดขวางกู้จื่อเฟยเอาไว้ตั้งแต่แรกต่างหาก
เย้นโม่หลินคิดหาคำตอบได้แล้ว แทบอยากจะจัดการคนพวกนี้ทั้งหมดในทันที
ใบหน้าของทุกคนพลันซีดขาวเหมือนกระดาษ ไร้สีเลือดฝาด
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าการรวมคนประณามกู้จื่อเฟยนั้น จะเป็นการรนหาที่ตาย
ถ้าหากเย้นโม่หลินสืบหาได้แล้ว พวกเขาพร้อมด้วยคำที่เคยพูดกลั่นแกล้งกู้จื่อเฟยไว้ ทั้งหมดคงจะหนีไม่รอด
พวกเขาหวาดกลัว และรีบโต้แย้ง
“นายน้อย พวกเราคิดคำนึงเพื่อความปลอดภัยของตระกูลเย้นนะ”
“หลังจากกู้จื่อเฟยมา ตระกูลเย้นก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ผู้นำตระกูลยังถูกคนลอบสังหารชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกนี้ล้วนเป็นเพราะเคราะห์ร้ายที่กู้จื่อเฟยนำพามาไงล่ะ”
พอได้ยินคำพูดพวกนี้ ใบหน้าเย้นโม่หลินดำมืดจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำหมึกได้
อยู่ต่อหน้าเขา คนพวกนี้ยังกล้าใส่ร้ายกู้จื่อเฟยแบบนี้
กู้จื่อเฟยข่มใจเอาไว้ ไม่สบายใจอย่างมาก ทว่ามองดูสีหน้าเย้นโม่หลินที่ไม่ดียิ่งกว่า กลับทำให้รู้สึกโล่งอก
เขาเชื่อเธอ คุ้มครองเธอก็พอแล้ว
มือเล็กของเธอจับที่เสื้อผ้าของเขาเบาเบา เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงบางเบา
“ฉันเจ็บแผล”
รีบพาเธอไปรักษา อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้อยู่อีกเลย
กู้จื่อเฟยก็ไม่อยากให้เย้นโม่หลินทะเลาะกับญาติพี่น้องทางสายเลือดของตระกูลเพราะเธอ อย่างไรพวกเขาต่างเป็นเหล่าบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ
ความดุร้ายในนัยน์ตาของเย้นโม่หลินก็ถูกโจมตีจนแตกสลาย ตอนที่ก้มศีรษะมองกู้จื่อเฟยก็นุ่มนวลในทันที
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้ ฉันจะพาเธอไปหาป่ายฉีเลย”
พูดปลอบขวัญจบ เขาถึงจะเงยหน้ามอง ชั่ววินาทีนั้นสายตาก็กลับมาเย็นยะเยือก
คำพูดที่เย็นชา แสดงความเด็ดเดี่ยวให้คนยำเกรง
“คำพูดนี้ ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียว”
“กู้จื่อเฟยเป็นผู้หญิงของฉัน เป็นภรรยาในอนาคตของนายน้อยของพวกคุณ หากใครกล้าไม่เคารพเธอ ก็ถือเป็นการเหยียดหยามและต่อต้านฉัน ฉันจะให้เขายอมรับผิดและขอโทษด้วยความตาย”
ทุกคนตกใจมาก มองเย้นโม่หลินอย่างเหลือเชื่อ ในขณะเดียวกัน ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น
เย้นโม่หลินไม่เพียงแต่ไม่คิดเล็กคิดน้อยข่าวลือเรื่องเคราะห์ร้าย ต่อหน้าญาติพี่น้องทางสายเลือดของตระกูลมากมายถึงกับพูดคำพูดแบบนี้ไป เท่ากับเป็นการประกาศสถานะของกู้จื่อเฟยอย่างเป็นทางการแล้ว
ภรรยาในอนาคตของนายน้อย!
นายหญิงตระกูลเย้นในอนาคต!
สถานะสูงศักดิ์ระดับไหน จากนี้ก็จะเป็นเจ้านายของพวกเขา
ทุกคนต่างฮือฮา รู้สึกเพียงว่าภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ท้องฟ้าจะพังลงมา
กู้จื่อเฟยก็มองเย้นโม่หลินอย่างตกใจ มองดูคางที่แสนเย็นชาของผู้ชายข้างหน้า หัวใจสั่นไหวระรัวเหมือนกับตีกลองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เขารับรองสถานะของเธอต่อหน้าทุกคน
เขาบอกว่าเธอคือภรรยาในอนาคตของนายน้อย
คำพูดนี้เป็นคำหวานไพเราะเสนาะหูยิ่งกว่าคำพูดอื่นเป็นไหนๆ ทำให้กู้จื่อเฟยรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่หัวใจจนถึงเส้นเลือดทั่วทั้งร่างกาย รู้สึกถึงความสบายใจและความพึ่งพาอาศัยได้ที่ออกมาจากหัวใจ
ไอสังหารรอบกายเย้นโม่หลินยังคงอยู่ สายตาเย็นชา
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“เรื่องดาวหายนะ ขอแค่เป็นคนที่มีส่วนยุ่งเกี่ยว แม้แต่คนเดียวฉันก็ไม่ปล่อยไว้ ไม่ว่าคุณจะมีฐานะหรือตำแหน่งอะไร หรือแม้แต่ที่เรียกว่าญาติพี่น้องทางสายเลือด
ก็ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น จุดจบล้วนต้องเป็นเหมือนกับหล่อน”
สิ้นเสียงพูด ผู้ชายชุดดำก็เปิดประตูรถ ลากเย้นจือฮวนที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดลงมาจากรถ
เย้นจือฮวนถูกทรมานจนอ่อนระโหยโรยแรงอย่างมาก อยู่ในสภาพสะโหลสะเหลกึ่งหมดสติ
เธอไม่อาจประคองตัวเองได้อีก ก่อนถูกทิ้งไว้บนพื้น ราวกับโคลนที่เทอยู่บนพื้นอย่างไรอย่างนั้น บาดแผลแขนที่ขาดดำทะมึน ยังมีเลือดไหลออกมาข้างนอก
และถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ คนชุดดำก็ยังไม่ปล่อยเธอไป แล้วยกเธอขึ้นมาจากบนพื้นอย่างแข็งกระด้าง บังคับให้เธอคุกเข่าบนพื้นด้วยสองขา
ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าคนชุดดำไปกดส่วนไหนของร่างกายเย้นจือฮวน เย้นจือฮวนที่ไม่ได้สติทันใดนั้นนัยน์ตาก็ฉายแสง กรีดร้องน่าเวทนาอย่างมีเรี่ยวแรง
เธอคุกเข่าอยู่บนพื้น แขนที่ขาดเลือดไหลออกมา ร่างกายสั่นเทาเหมือนจุกขวด