เฉินเถียนเถียนมองดูรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบอะไรจึงนั่งลงด้วยความท้อใจ
“เสี่ยวเถา เจ้ามองผิดไปรึเปล่า? หญิงร่างเล็กผอมแห้งจนไม่น่ามองเช่นนี้ยังจะเป็นที่หมายตาของใครอีกหรือ?”
เสี่ยวเถาตอบกลับ “ไม่มีทางผิดแน่นอน เขาอาจหลบอยู่ที่ไหนสักที่! และอีกอย่างเจ้าไม่ควรพูดเช่นนี้ ร่างนี้ดูไม่ดีอย่างไรหรือ?”
เฉินเถียนเถียนลืมไปว่าเธอไม่ได้อยู่ในร่างตำรวจสาวอีกต่อไป แต่เป็นร่างกายของหญิงผู้งดงามราวกับนางในวรรณคดี!
“สหาย! ตามมาถึงที่นี่และระแวกนี้ก็ไม่มีใคร เจ้าตามข้ามาเพื่อสิ่งใดกัน? ออกมาคุยกันเถิด!”
หยุนเคอยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกระโดดลงจากต้นไม้
เฉินเถียนเถียนเห็นผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้นางตกใจจนสะดุดล้มพร้อมก้นกระแทกพื้นทันที
“นี่ลุง ต้องการอะไร? ข้าขอบอกว่าข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมง่ายๆ นะ!”
หยุนเคอส่ายหัวพร้อมตอบเสียงทุ้ม “เป็นข้าเอง!”
‘หือ? เสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก’
ตั้งแต่มาที่นี่ได้พบเจอคนเพียงไม่กี่คน และน้ำเสียงนี้แน่นอนว่านางจดจำมันได้ดี… ที่แท้ก็เป็นชายที่ช่วยนางไว้เมื่อคืนนี่เอง
“โอ้ เป็นชายแกร่งนั่นเอง!”
‘ชายแกร่งงั้นหรือ? นี่มันชื่อเรียกอะไรกัน?’ หยุนเคอชะงักพร้อมกับสงสัยว่าแท้จริงแล้วหญิงผู้นี้เป็นใครกันแน่?!
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ล่าสัตว์”
เฉินเถียนเถียนตาเป็นประกายทันที “ปรมาจารย์ชุดดำ! ข้าเห็นเจ้าบินไปบินมาอย่างโฉบเฉี่ยวทั้งยังมีฝีมือในการล่าเก่งกาจ เช่นนี้ช่วยสอนข้าได้หรือไม่?”
หยุนเคอกลอกตาพร้อมยกยิ้ม แต่หนวดเครารุงรังปกปิดใบหน้าของเขาไว้จึงทำให้มองไม่เห็น
“ไม่!”
ในที่สุดเฉินเถียนเถียนก็ได้เจอกับคนที่พอจะช่วยนางได้ เช่นนี้จะยอมปล่อยไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
“ท่านปรมาจารย์จะไม่สอนข้าจริงหรือ? ตามข้ามาขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่สนใจข้าอีกหรือ? นี่สมองหรือสายตาของเจ้ามีปัญหากันแน่? ข้าสวยดั่งนางกินรีเช่นนี้ แต่กลับปฏิเสธคำขอของข้า!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนเคอมั่นใจทันทีว่าลูกสาวบ้านเฉินต้องวิปลาสเป็นแน่!
‘รูปร่างผอมโซเช่นนี้ยังคิดว่าตนเองสวยดุจนางกินรีอีกหรือ? ช่างเถิด! ความจริงแล้วนางก็งดงามเพียงแต่ผอมบางเกินไป โดยเฉพาะดวงตาอันกลมโตสวยงามส่องประกายวิบวับ มองนาน ๆ อาจทำให้ใจอ่อนได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างไรแม้นางจะงดงาม แล้วทำไมข้าต้องสอนนางด้วยเล่า?’ เมื่อคิดเช่นนี้หยุนเคอจึงเดินหนีไปดื้อ ๆ
เฉินเถียนเถียนเห็นว่าความหวังกำลังจะมลายสิ้นจึงรีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ทันที
“เจ้าทนเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาได้หรือไร? ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว… หิวเหลือเกิน!”
หยุนเคอกลอกตาอีกครั้ง ‘เจ้าหิวแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?’ เขาเฝ้าถามตนเองว่าเหตุใดจึงต้องเดินตามเฉินเถียนเถียนด้วย?!
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หญิงและชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ใช่หรือไร?!”
“ข้าไม่ปล่อย เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายถึงเพียงนี้?! ข้าหิวมากแต่เจ้ากลับไม่ช่วยข้า!”
หยุนเคอโมโหพร้อมสบถในใจ ‘เจ้าหิว… แล้วเหตุใดข้าต้องช่วย เห็นข้าว่างมากหรือไร?’
จากนั้นหยุนเคอจึงสะบัดมือทิ้งพร้อมกับกระโดดหนีทิ้งให้เฉินเถียนเถียนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
เขาเป็นคนอย่างไรกัน? ใจร้ายถึงเพียงนี้เลยหรือ… จากไปโดยไม่บอกลาสักคำ!
‘หากไม่อยากข้องเกี่ยว… เหตุใดจึงต้องเดินตามข้าด้วยเล่า? ราวกับว่าต้องการอะไร แต่จู่ ๆ กลับหนีไป น่าโมโหเสียจริง!’
“อย่างนั้นข้าจะตามหาเจ้าเอง!”
แต่เนื่องจากหยุนเคอมีวิชาตัวเบา เฉินเถียนเถียนจึงไม่สามารถวิ่งไล่ตามเขาได้ ทำได้เพียงกระทืบเท้าอยู่กับที่และตะโกนด่าเขาด้วยความโมโหเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหยุนเคอจากไปแล้ว เฉินเถียนเถียนจึงทิ้งตัวลงพื้นด้วยความหิวโหยโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
‘ชายผู้นี้ถึงแม้จะอาศัยอยู่ในป่า แต่กลับมีนิสัยที่ไม่เหมือนคนป่าเอาเสียเลย! ยิ่งไปกว่านั้น พรานที่เอาแต่ล่าสัตว์อยู่ในป่าจะมีวิชาอาคมแข่งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ? ทั้งยังมีวิชาตัวเบาอีกด้วย! เฮ้อ ช่างเถิด! ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็นับว่าฝีมือไม่ธรรมดา!’ แม้เฉินเถียนเถียนจะเป็นตำรวจก็ไม่สามารถสู้เขาได้อย่างแน่นอน
หยุนเคอที่เดินหนีออกมาเริ่มฟื้นคืนสติขึ้นมาจึงเริ่มไตร่ตรอง ‘เพราะนางหิวโหยและไม่มีทางเลือกจึงต้องรบกวนข้า และข้าเองก็เป็นคนที่เดินตามนางก่อน แล้วเหตุใดข้าจึงต้องโกรธนางขนาดนี้ด้วยล่ะ?!”
หยุนเคอไม่เคยถูกจับได้มาก่อน แต่เฉินเถียนเถียนกลับมีค้นหาเขาพบ คงเป็นเพราะเรื่องนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก
หยุนเคอไม่สนใจและเดินกลับไปยังถ้ำเพื่อพักผ่อน เนื่องจากต้องออกล่าสัตว์ในตอนกลางคืน แต่ขณะที่กำลังเดิน จู่ ๆ เขาหยุดฝีเท้า หยุนเคอนึกถึงใบหน้าและแววตาอันน่าสงสารของเฉินเถียนเถียน ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงใจอ่อนอย่างง่ายดาย…
เพราะก่อนที่เขาจะเดินจากมา หยุนเคอได้ยินเสียงท้องที่ร้องอย่างบ้าคลั่งของเฉินเถียนเถียน เขาพยายามหยุดความคิดเหล่านั้น แต่เมื่อยิ่งห้ามก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงนางมากขึ้น
‘ช่างเถอะ… ถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายของข้าก็แล้วกัน!’
ในที่สุดหยุนเคอก็หยิบไก่ป่าที่ล่าได้เมื่อคืนและเดินตรงออกจากถ้ำ เขาเดินกลับไปยังทิศทางเดิมจนพบเฉินเถียนเถียน และเห็นว่านางกำลังนั่งร้องไห้และพร่ำเพ้ออย่างหนัก
“นังปีศาจหลินชวนฮวา… บังอาจคิดเทียบเคียงแม่ข้า ใส่เสื้อผ้าของแม่ข้า ทั้งยังใช้เงินของแม่ในการเลี้ยงดูลูกชายตนเอง แต่กลับไม่ยอมให้ข้ากินอาหารและคิดปล่อยให้อดตาย! การที่ทำเช่นนี้ไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยหรือ?! เฉินผิงอันเองก็ช่างไร้ความคิด ไม่เคยเหลียวแลลูกสาวในไส้แต่กลับไปดูแลลูกของชายอื่น กำลังฝันเฟื่องอยู่หรืออย่างไร? คนโง่เขลาเช่นเฉินเฉิงเยี่ยไม่มีทางเป็นขุนนางได้ หากเขาสอบผ่านข้าจะยอมเปลี่ยนนามสกุลเลยคอยดูเถอะ! แล้วต่อให้เฉินเฉิงเยี่ยสอบเป็นขุนนางได้ เฉินผิงอันจะหวังพึ่งพาอะไรเขา? ไม่เห็นสายตาที่เด็กชายผู้นั้นมองตนเลยหรืออย่างไร? หากได้ดี… เขาไม่มีทางตอบแทนบุญคุณ เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ อยู่แล้ว!”
หยุนเคอส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าความเป็นห่วงที่เขามีนั้นสูญเปล่า เพราะเด็กสาวยังคงมีพลังเหลือล้นจึงสามารถพูดพล่ามได้ยาวเหยียด
“หยุนเคอเองก็เช่นกัน หญิงสาวหน้าตาสละสลวยเช่นข้ายืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับเลือกที่จะสะบัดมือและเดินหนีไป ไม่แปลกที่ทุกวันนี้จึงไม่มีสาวใดเคียงข้าง!”
หยุนเคอเลิกคิ้ว ‘นางกำลังเอาความโกรธมาลงที่ข้าอย่างนั้นหรือ?’