เฉินเถียนเถียนโต้เถียงด้วยความไม่พอใจ “แม้แต่ข้ายังไม่มีอาหารสำหรับตนเองแล้วจะไปหาจากที่ไหนมาให้เจ้ากิน?!”
เฉินเฉินเริ่มงอแงอย่างไร้เหตุผลอีกครั้ง “เจ้ากินจนหมดจนไม่เหลือให้ข้า แม่บอกว่าเพราะเจ้าขโมยไป ข้าจึงไม่มีอาหารกิน รีบตายไปเสียจะได้ไม่ต้องแย่งอาหารของข้าอีก!”
เฉินเถียนเถียนมองหน้าน้องชายด้วยความหงุดหงิด ‘เด็กคนนี้ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ!”
“พ่อ… ครอบครัวของเราไม่มีอะไรกินเลยหรือ? จะปล่อยให้เด็กคนนี้หิวโหยต่อไปเช่นนี้หรือไร ข้าเป็นเพียงลูกติดไม่ได้ต้องการความใส่ใจจากแม่ ดังนั้นท่านจึงไม่สนว่าข้าจะหิวหรือไม่! แต่เฉินเฉินเป็นลูกชายของท่านไม่ใช่หรือ?!”
เฉินเถียนเถียนพยายามโน้มน้าว แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วหลินชวนฮวาเป็นหญิงที่แสนดี ดังนั้นเขาจะไม่มีทางยอมให้ใครทำลายชื่อเสียงของนาง
“ไร้สาระ! เพราะวันนี้หลินชวนฮวาไม่อยู่บ้าน เจ้าจึงหาโอกาสใส่ร้ายนาง! หยุดเสียเฉินเถียนเถียน! เลิกพูดเรื่องไร้สาระ!”
‘ไร้สาระ?’
เฉินเถียนเถียนถึงกับพูดไม่ออก!
“ในเมื่อเฉินเฉินไม่เคารพข้าในฐานะพี่สาว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเขาเหมือนน้องชาย ท่านเป็นพ่อของเขา ในเมื่อลูกหิวท่านก็ต้องหาให้เขากิน!”
หลังพูดจบเฉินเถียนเถียนเดินออกไปทันที
เดิมทีเฉินผิงอันเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วจึงทนไม่ได้ที่เห็นลูกสาวก้าวร้าวเช่นนี้
“นังเด็กสารเลว ไร้มนุษยธรรมขึ้นทุกวัน สมควรโดนจับถ่วงน้ำให้ตายตกไปเสีย!”
ตอนนั้นเองเฉินเถียนเถียนจึงหันกลับมายิ้มจางพร้อมกล่าวตอบ “พ่อ… ท่านแน่ใจแล้วหรือที่พูดออกมา?”
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้าอีกต่อไป ออกไปซะ อย่าอยู่กวนใจน้องชายของเจ้าอีก!”
สีหน้าของเฉินเถียนเถียนเปลี่ยนไปทันที นางเริ่มหยิกตนเองอย่างรุนแรงและร้องเสียงดัง
เป็นตอนนี้เองที่เฉินผิงอันรับรู้ได้ทันทีว่าหากไม่พยายามหยุดนางต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
แต่เฉินเถียนเถียนไม่มีทางปล่อยให้เขาหยุดนางได้จึงวิ่งออกไปนอกบ้านพลางตะโกนสุดเสียง
“เหตุใดท่านแม่จึงต้องด่วนจากข้าไปเช่นนี้? เหตุใดจึงไม่พาข้าไปด้วย?! ปล่อยให้ข้าอยู่ตามลำพังและถูกรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
เมื่อเฉินผิงอันวิ่งออกมาก็พบว่าทุกอย่างสายไปเสียแล้ว ตอนนี้เฉินเถียนเถียนกำลังป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้
ชาวบ้านที่กำลังพักกลางวันก็ต่างวิ่งออกมาดูด้วยความสนใจ
“เกิดอะไรขึ้น? ใยเจ้าจึงตะโกนโวยวายเสียงดังอีกแล้ว?”
เฉินผิงอันเห็นอย่างนั้นจึงตะคอกพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “นังเด็กขี้ครอก! คิดว่าข้าจะจับเจ้าถ่วงน้ำจริง ๆ หรือไร?”
ยิ่งเฉินผิงอันรู้สึกอายมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เฉินเถียนเถียนสะใจมากเท่านั้น
“พ่อฆ่าข้าสักทีเถิด! อย่างน้อยหากตายไปชีวิตข้าก็คงไม่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ หากทุกอย่างยังดำเนินไป สักวันข้าคงหายไปจากโลกนี้โดยไม่มีใครรู้!”
เฉินเถียนเถียนร่ำไห้ ระบายความเจ็บปวดในใจที่ได้รับอย่างน่าเวทนา
ชาวบ้านเริ่มยื่นใบหน้าออกมารับชมและสีหน้าของเฉินผิงอันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
“นังสารเลว! มีอะไรก็กลับไปคุยที่บ้าน จะออกมาตะโกนโวยวายเพื่อสร้างปัญหาทำไม?”
เฉินเถียนเถียนไม่หยุดพร้อมกับร้องไห้และพร่ำบ่น “บ้านของเราก็ซื้อจากเงินสินสอดทองหมั้นของแม่หยุน แต่ลูกสาวของนางกลับต้องนอนในโรงเก็บไม้ ไร้ซึ่งที่นอนหรือผ้าห่ม ต้องนอนบนไม้แข็ง ๆ สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ชีวิตของข้าช่างลำบากเหลือเกิน ข้าไม่เคยได้กินข้าวหุงใหม่มาก่อนเลย แม้ท้องนาของครอบครัวเฉินจะถูกซื้อมาด้วยเงินของแม่ข้าก็ตาม หากทั้งหมดนี้ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่ ข้าก็สามารถฟ้องร้องพ่อได้ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่อกลับเพิกเฉย ต่อว่าข้า และแสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใด!”
เพราะเฉินผิงอันพูดไม่เก่งและไม่รู้ว่าจะหักล้างสิ่งที่เฉินเถียนเถียนอ้างได้อย่างไร จึงทำได้เพียงยืนตกตะลึงอยู่อย่างนั้น
ขณะนั้นหลินชวนฮวาก็กลับมาถึงบ้าน
หลินชวนฮวากลับมาอย่างเร่งรีบเพราะนางใช้โอกาสจากการที่เฉินผิงอันไม่อยู่เพื่อแต่งตัวสวยสง่าและออกจากบ้านไป
เพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะกลับมาเจอ นางจึงรีบมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน หลินชวนฮวาเห็นกลุ่มคนยืนรวมกันอยู่ แม้จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ!
ทันทีที่ชาวบ้านเห็นว่าหลินชวนฮวาเดินเข้ามา พวกเขาจึงมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด
หลินชวนฮวาจึงฝ่าฝูงชนเข้าไปกลางวงทันที!
หลังจากนั้น หลินชวนฮวาพลันตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ลูกเลี้ยงที่นางเกลียดชังกำลังคุกเข่าร้องไห้ท่ามกลางฝูงชน
ส่วนเฉินผิงอันที่อยู่ข้าง ๆ มองลูกของตัวเองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่ง
ชาวบ้านสนทนากันเสียงดังพลันชี้ไปที่หลินชวนฮวาและเริ่มต่อว่า
“เจ้าเป็นคนเช่นใดกัน? กล้าใช้ทรัพย์สมบัติของเมียเก่าแต่กลับทำร้ายลูกสาวนาง! เหตุใดจึงใจดำได้ถึงเพียงนี้?”
“เฉินผิงอันไม่มีสมองหรืออย่างไร? เลี้ยงลูกของชายอื่นแต่กลับรังแกและเพิกเฉยต่อลูกสาวแท้ ๆ ของตน!”
หลินชวนฮวาไม่อาจยอมแพ้ต่อสายตาเหล่านั้น นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเดินไปข้างหน้าและกล่าวตำหนิ “เถียนเถียน เจ้าสร้างปัญหาอะไรอีกแล้ว? มีอะไรทำไมไม่คุยในบ้าน?”
เมื่อเฉินเถียนเถียนเห็นว่าหลินชวนฮวากำลังแสร้งใจดีเพื่อเรียกคะแนนสงสาร นางจึงโต้แย้งทันที!
“แม่บอกว่าข้าสร้างปัญหางั้นหรือ?! เฉินเอ๋ออายุยังน้อยแต่แม่กลับสอนไม่ให้เคารพข้าและให้น้องเรียกข้าว่าอีขี้ครอก! ทั้งยังปลูกฝังให้เขาเข้าใจว่าเพราะข้าขโมยอาหารจึงทำให้เขาต้องอดข้าว! วันนี้เฉินเอ๋อตีข้าด้วยท่อนไม้อย่างแรง แต่โชคดีที่ข้าหลบได้ เมื่อข้าตอบโต้… เฉินเอ๋อล้มลงและมีเลือดไหลออก เขาวิ่งร้องไห้มาฟ้องพ่อและพ่อจึงไล่ตีข้า!”
เมื่อเฉินเฉินเห็นว่าเฉินเถียนเถียนกล่าวถึงตนในทางที่ไม่ดี จึงลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจทันที “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนเดียว! อีขี้ครอก! เจ้าขโมยกินอาหารจนหมดบ้าน!”
หลินชวนฮวาฉวยโอกาสแทรกขึ้นทันที “ลูกหิวใช่หรือไม่? แน่นอนว่าหากอยากกินก็ต้องปล่อยให้พี่ของเจ้ากินให้เสร็จเสียก่อน!”
เฉินเถียนเถียนแสยะยิ้ม “แม่ซ่อนอาหารไว้ที่ไหนหรือ? ไม่ว่าจะยากจนเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอดยากจนไม่มีอาหารให้เด็กคนหนึ่งกิน อีกทั้งวันนี้แม่แต่งตัวสวยและออกไปข้างนอกแต่หัววัน สำหรับแม่แล้วใครกันแน่ที่สิ้นเปลืองและไร้ประโยชน์?!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวบ้านต่างซุบซิบกันสนั่นหู
ในหมู่บ้านนี้ครอบครัวเฉินนับว่าเป็นบ้านที่ใช้ชีวิตได้สะดวกสบายและร่ำรวยที่สุด แม้จะเปรียบเทียบนายใหญ่ในเมืองไม่ได้ แต่ก็ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้!
ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงพากันอิจฉาตระกูลเฉินยิ่ง!
แน่นอนว่าความเกลียดชังและความอิจฉามีอยู่ทั่วไป ชาวบ้านต่างชี้นิ้วไปที่หลินชวนฮวาและเริ่มตำหนินาง
“เฉินเฉินเป็นลูกแท้ ๆ ของเจ้า เหตุใดจึงไม่คิดดูแลเขาเอง?!”