เป็นไปตามคาดของเฉินเถียนเถียนว่าหลินชวนฮวาผู้แสนดีจะแปรเปลี่ยนเป็นนางมารร้ายเมื่อนางกลับมาถึงบ้าน!
“กลับมาแล้วงั้นหรือนังหญิงราคาถูก! วัน ๆ คอยแต่สร้างเรื่องอับอายให้กับครอบครัวไม่หยุดหย่อน”
โลกใบนี้มีทั้งดีและชั่วผสมปนเป ส่วนเหล่าสตรีก็ไม่ต่างกัน… เพราะเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จนชินชาจึงทำให้เฉินผิงอันไม่รู้สึกรู้สาใดกับคำพูดเหล่านี้
หรือแม้จะรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็เพียงทำเมินเฉยราวกับไม่ได้ยินคำใด
“แม่ช่างเก่งกล้าเสียจริง… คิดได้อย่างไรจึงเอานายน้อยหลี่มาเป็นเครื่องมือให้กับตนเอง? คงคาดไม่ถึงล่ะสิ แม้เขาจะขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจแต่เขาก็ไม่รังแกหญิงที่อ่อนแอกว่า!”
หลินชวนฮวาอ้าปากราวกับกำลังจะตอบโต้แต่เฉินเถียนเถียนกล่าวแทรกเสียก่อน
“แม่คิดว่าพวกเขาจะทำตามที่ท่านร้องของั้นหรือ? เสียใจด้วยที่นายน้อยหลี่เลือกปกป้องข้าแทนและตอนนี้เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเรื่องของท่านอีก ต่อไปนี้คงมีแต่เรื่องวุ่นวายที่แม่ต้องเผชิญ… ข้าคิดว่าแม่คงจะไม่มีเวลามาสนใจข้าแล้วล่ะ!”
หลินชวนฮวาเชิดหน้าขึ้นพร้อมสายตาเหยียดหยาม “ไม่จริง ข้าไม่มีใดต้องเกรงกลัว! เจ้าเสียมากกว่าที่ต้องกังวลใจ หากไม่รีบแต่งงานคงจะต้องโกนผมบวชชีไปตลอดชีวิต!”
เฉินเถียนเถียนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสียงค่อย “ถ้าหากข้าเป็นนายน้อยหลี่และได้รู้ว่ามีใครบางคนพยายามจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น… ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไว้แน่และเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันไม่ใช่เพราะท่านจงใจขายข้าเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของเฉินเฉิงเยี่ยงั้นหรือ?”
“มันสายเกินไปที่จะปิดบังแล้ว! หากแม่กล้าป่าวประกาศเรื่องข้าเช่นนั้นก็ควรจะคิดหนทางรับมือไว้บ้าง ตอนนี้นายน้อยหลี่ไม่ต้องทำสิ่งใดแม้แต่น้อยเพราะแม่ทำทุกสิ่งพังทลายด้วยตนเอง เรื่องราวของเฉินเฉิงเยี่ยถูกโพทะนาไปไกลไม่รู้ถึงไหน ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครจะยอมรับเขาเป็นศิษย์!”
แม้หลินชวนฮวาจะแสร้งแสดงใบหน้าไม่แยแส แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนกและกังวลเกี่ยวกับอนาคตอย่างยิ่ง
นางทั้งรักและหวงแหนเฉินเฉิงเยี่ยมากกว่าสิ่งใด แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้เข้าโรงเรียนและถูกไล่ออกราวกับหมูหมา!
“นังเด็กสารเลว! เจ้ากำลังกล่าววาจาไร้สาระใดกัน การยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าก็จบสิ้นลงแล้ว แต่เหตุใดจึงคิดระรานข้าไม่จบสิ้น?”
เฉินเถียนเถียนเดินไปที่โต๊ะพร้อมเผยสีหน้าเบื่อหน่ายออก นางยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะกล่าวต่อ “อ้อ ท่านคิดว่าแค่ส่งข้าให้ตระกูลหลี่แล้วเรื่องทุกอย่างจะจบสิ้นงั้นหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่!”
“ข้าทำให้นายน้อยหลี่ขุ่นเคืองใจไปแล้ว ตอนนี้เพียงการส่งข้าให้เขาไม่สามารถหยุดยั้งข้าได้ เตรียมรับชะตากรรมของตนเองเถิด! ฮ่าฮ่าฮ่า! เฉิงเยี่ย… เตรียมตัวเถิด ปัญหาของข้าจบสิ้นแล้ว ต่อไปเป็นคราวของเจ้าบ้าง!”
แต่เฉินเฉิงเยี่ยไม่สนใจในสิ่งที่เถียนเถียนกล่าวคำ แต่ยังไงซะเขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลก่อนจะโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน “นังผู้หญิงเพศยา! เจ้าเพ้อเจ้อเรื่องใดกัน กำลังฝันกลางวันอยู่งั้นหรือ? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องเป็นนักวิชาการให้ได้ อีกทั้งนายน้อยหลี่เองย่อมรู้ว่าผู้ใดคือคนสำคัญของเขา!”
เถียนเถียนยิ้มเยาะแต่ไม่ได้ตอบคำใดกลับ นางปรายตามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นอาหารเย็นวางอยู่บนโต๊ะเลย…
ยังไงซะนางก็ไม่ได้คาดหวังว่าบ้านหลังนี้จะมีอาหารเย็นอยู่แล้ว เช่นนี้จึงเดินตรงเข้าห้องนอนพร้อมกับลงกลอนอย่างรวดเร็ว
แต่หลินฮวากลับไม่สามารถอดกลั้นได้จึงเผยสีหน้าไม่สู้ดีนักออกมา
“เจ้ายังกล้าจะมานอนที่นี่อีกหรือ? หญิงไม่บริสุทธิ์เช่นเจ้าสมควรไปนอนในเพิงไม้!” เฉินผิงก่นด่า
ด้วยท่าทางที่เลวทรามของผู้เป็นพ่อนี้อาจทำให้เฉินเถียนเถียนคนเก่าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ แต่สำหรับเฉินเถียนเถียนคนใหม่กลับฉีกยิ้มอย่างสบายอารมณ์
“แล้วพ่อจะหวงแหนห้องนี้ไว้เพื่ออะไรกัน? หรือท่านต้องการนอนในห้องนี้หรือ? แม้แต่ลูกชายสุดรักสุดหวงของท่านยังไม่มีสิทธิ์ในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ… หึ เพราะสิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดมันตกอยู่กับลูกชายสุดที่รักของแม่ยังไงล่ะ!”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินผิงอันจึงสงบปากสงบคำลงในทันใด
เฉินเถียนเถียนกล่าวถูกต้องทุกอย่าง ห้องนี้ยังว่างอยู่นางจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้ อีกอย่างเฉินเฉิงเยี่ยก็โตพอที่จะแต่งงานแล้ว…
ส่วนหลินชวนฮวาพลันหน้าซีดเซียวเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น
หากเฉินเถียนเถียนไม่กล่าวออกก็คงไม่สามารถจัดการกับเฉินผิงอันได้ เขาคงไม่มีวันจำได้จึงต้องใช้คำพูดของเด็กสาวเพื่อเตือนความจำ… เขาไม่ควรจะหวงแหนห้องนี้เลยสักนิด!
เดิมทีเฉินเถียนเถียนอาศัยอยู่ในโรงเก็บไม้เล็ก ๆ ทั้งแคบและชื้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมักจะอ้างเสมอว่าเฉินเฉินยังเด็กจึงไม่สามารถนอนคนเดียวได้ ตอนนี้เด็กชายอายุเจ็ดขวบซึ่งถึงเวลาที่เขาต้องนอนคนเดียวแล้ว
“สามี… ข้าบอกท่านนานแล้วว่าคงจะไม่ดีนักหากเฉินเฉินยังนอนกับเราอยู่ เขาควรจะนอนคนเดียวแต่เถียนเถียนฉกฉวยเอาห้องนี้ไปแล้ว ข้าจึงไม่…”
เฉินผิงอันเริ่มโกรธขึ้นมาอีกครั้งจึงตะเบ็งออกสุดเสียง “นังเด็กสารเลวเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกสร้างปัญหาสักที!”
เฉินเถียนเถียนไม่สนใจสิ่งใดพร้อมกับปล่อยร่างกายล้มลงบนเตียงทรุดโทรมด้วยความสบายใจ
เอาล่ะ หากเรื่องนี้ไปถึงหูของผู้เฒ่า ชาวบ้านก็คงจะเริ่มรำคาญที่ปัญหาไม่ยอมจบสิ้น ควรจะอดทนไว้ก่อน!
ตอนนี้เฉินเถียนเถียนรู้สึกหิวมากแต่ก็ทำได้เพียงอดทนและนอนอยู่บนเตียงเพื่อให้คืนวันผ่านไปโดยเร็ว
เดิมทีเฉินผิงอันและหลินชวนฮวาตั้งใจจะมอบห้องนี้ให้กับเฉินเฉิน เมื่อเห็นลูกสาวทำตัวเช่นนี้จึงทำให้เกลียดชังเฉินเถียนเถียนมากยิ่งกว่าเก่า!
แต่ว่าเฉินเฉินกลับรู้สึกบางอย่างอยู่ภายในใจ…
พี่สาวคนนี้ช่างเก่งกาจนัก เพียงนางกล่าวออกไม่กี่คำห้องใหญ่นั่นก็กลายเป็นของนางทันที… หรือว่านางจะรู้และไม่อยากให้เขานอนตัวสั่นอยู่ในห้องมืด ๆ คนเดียวทั้งคืน?
หัวใจของเฉินเฉินทั้งบริสุทธิ์และขาวสะอาด มีเพียงผู้เป็นแม่ที่ขีดเขียนความเกลียดชังลงไป แต่สุดท้ายแล้วเด็กน้อยก็ยังตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขารู้สึกว่าเฉินเถียนเถียนคือพี่สาวและผู้เป็นแม่ช่างลำเอียงนัก นางใจดีกับพี่ใหญ่คนเดียว… พี่ใหญ่คือคนที่ดีที่สุดในสายตาของท่านแม่!
เมื่อก่อนคราวที่เฉินเถียนเถียนเป็นคนดูแลบ้านและหุงหาอาหาร เฉินเฉินไม่เคยเลยต้องทนหิว แต่ตอนนี้แม่มักบอกกล่าวว่าเขาได้กินในสิ่งที่สมควรได้กินแล้ว… ถ้าหากตอนนี้พี่สาวยังอยู่ เขาคงจะอิ่มท้องมากกว่านี้แน่!
สายตาของเฉินเฉินที่มองดูคนในบ้านเปลี่ยนไป… แววตานั้นแปลกประหลาดราวกับเขาคือผู้ใหญ่คนหนึ่ง!
ในท้ายที่สุดเฉินเถียนเถียนก็มอบห้องนี้ให้กับน้องชายและตนเองออกไปอยู่ที่โรงเก็บไม้ดังเดิม…
แต่ดูเหมือนว่าแม่จะเก็บอาหารทั้งหมดออกไปแล้ว เช่นนี้เขาต้องอดอาหารอีกหรือไม่?
เด็กน้อยไม่สามารถหยุดคิดเรื่องราวภายในใจได้ เขาจึงแสดงความรังเกียจต่อหลินชวนฮวาออกไปอย่างชัดเจน!
แต่ในตอนนั้นหลินชวนฮวากลับต่อว่าเขาอย่างเดือดดาลจนทำให้เฉินเฉินหวาดกลัวจนต้องพ่ายแพ้ และเขาก็ไม่กล้าที่จะไปยังโรงเก็บไม้อีกแล้วด้วย
“ช่างขี้ขลาดตาขาวอะไรเช่นนี้!”
เสียงก่นด่าของผู้เป็นแม่ดังขึ้นในหัวของเฉินเฉินไม่หยุดหย่อน…
อย่างไรเสียเด็กน้อยไม่เข้าใจความหมายของคำว่าขี้ขลาดตาขาว… เด็กชายเริ่มรับรู้ได้ว่าแม่กำลังดุด่าเขาอยู่ ตอนนี้เขาสามารถแยกแยะเจตนาดีและร้ายของผู้อื่นได้แล้ว… แต่อย่างไรเขาก็ไม่กล้าตอบโต้จึงทำได้เพียงถอยหลังกลับเข้าไปในห้องเท่านั้น