หยุนเคอยกยิ้มก่อนจะหัวเราะ “เจ้ารับคำขอโทษเป็นไก่ป่างั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเถียนเถียนก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด นางก้าวถอยหลังออกไปอย่างสิ้นหวัง
“แต่เจ้าจะโทษข้าก็ไม่ถูก… เป็นเพราะข้าหิว มิเช่นนั้นหญิงสาวหน้าตางดงามเช่นข้าจะเดินดุ่ม ๆ เข้ามาในป่ายามค่ำคืนเช่นนี้หรือ? ก็เพียงแค่ไก่ป่าตัวเดียว ข้าก็แค่ยืมมิใช่ขอสักหน่อย!”
“ข้ารู้ว่าข้ามันไร้ยางอาย แต่หากไม่ทำข้าคงต้องหิวตาย!”
หยุนเคอไม่พูดอะไรพร้อมหันหลังคิดเดินจากไป
เห็นอย่างนี้เถียนเถียนยิ่งกัวลใจ นางวิ่งตามพร้อมตะโกนเสียงดัง “เจ้าจะให้ไก่ป่ากับข้าหรือไม่?”
หยุนเคอดึงไก่ป่าออกจากเอวก่อนจะโยนมันลงพื้น เขาหยิบกริชคมปลาบออกมาเพื่อจัดการกับมัน สายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับมองหากองฟางและสมุนไพรเพื่อปรุงอาหาร
เถียนเถียนรู้สึกละอายใจยิ่งที่ร้องขออาหารจากเขาไม่พอ ยังต้องพึ่งพาให้เขาปรุงมันให้อีก… แม้มันจะไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่นางก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อย
เถียนเถียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกล่าวเสียงอ่อน “ข้าขอบคุณเจ้ายิ่ง จากวันนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าให้สาสม!”
หลังกล่าวจบนางจึงก้มลงคว้าตัวไก่ป่าและเริ่มถอนขนของมันออก
หยุนเคอเหลือบมองครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำในส่วนของตัวเอง
……
มันใกล้จะสุกแล้ว!
หลังจากไก่สุก เถียนเถียนฉีกมันออกมาครึ่งหนึ่งและแบ่งให้หยุนเคอครึ่งหนึ่ง แต่เขากลับปฏิเสธ…
“ถ้าเจ้าอยากเรียนล่าสัตว์ก็ขึ้นมาบนภูเขาในวันพรุ่งนี้”
หลังพูดจบเขาจึงหันหลังจากไปทันที
เฉินเถียนเถียนถูกทิ้งให้อยู่ในความสับสนเป็นเวลานานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า… ก่อนหน้านี้นางร้องขอให้เขาสอนล่าสัตว์!
ความงุนงงปรากฏขึ้นในจิตใจของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้… นางจะกินไก่ป่าทั้งหมดนี่คนเดียวได้อย่างไรกัน?
เหตุใดเขาจึงไม่รับมันไป…
แต่สุดท้ายนางก็หิวโหยเกินกว่าจะคิดไตร่ตรองสิ่งใด เด็กสาวลงมือแทะไก่ในมืออย่างมูมมามโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
แต่เพราะหิวจัดจึงทำให้นางสามารถกินมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงต้องเก็บไว้ก่อนอย่างน่าเสียดาย
นางถูกความหิวนำพามาที่นี่ เช่นนี้จึงคิดว่าควรจะกินอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!
เป็นเรื่องน่าสมเพชยิ่งที่ตระกูลเฉินนั้นแสนร่ำรวยแต่ลูกสาวของตระกูลกลับต้องหิวโหย!
เดิมทีเฉินเถียนเถียนนั้นอ่อนแอและซูบผอม แต่หลังจากนางได้กินไก่ป่าเข้าไปทำให้นางอิ่มจนจุก หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านเพื่อเข้านอน
แต่ในขณะที่กำลังจะหลับตา จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงดังมาจากในครัว… ความหวาดระแวงปรากฏพร้อมกับคิดในใจ ‘ทุกคนหลับหมดแล้ว… นั่นเสียงอะไร?’
‘อาจมีโจรอยู่ในห้องครัว แต่… โจรจะเข้ามาได้อย่างไร?!’
‘หรือจะเป็นหนู? แต่หนูจะตัวใหญ่จนทำเสียงโครมครามได้ขนาดนี้เลยเหรอ?’
‘ไม่สิ ข้าแยกแยะเสียงฝีเท้าของหนูกับคนได้ชัดเจน!’
‘นั่นมันเสียงฝีเท้าคนชัดๆ!’
แม้เฉินเถียนเถียนจะไม่สนใจว่าอะไรถูกขโมยไปจากบ้านหลังนี้ แต่ความยุติธรรมในฐานะตำรวจยังคงอยู่ในจิตใจเสมอ!
นางลุกขึ้นและค่อย ๆ ย่องเข้าใกล้ห้องครัว
เขาเป็นใคร?
ที่แท้ก็เป็นเฉินเฉิน… น้องชายวัยเจ็ดขวบของนางนั่นเอง!
มือน้อยกุมท้องไว้แน่นก่อนจะพยายามคุ้ยหาของกินด้วยความหิวโหย
หลินชวนฮวาเพิกเฉยต่อลูกชายคนเล็กของตนงั้นหรือ?
เฉินเถียนเถียนย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบ แต่เฉินเฉินที่พยายามคุ้ยหาของกินกลับตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าถูกพบเห็นเข้าแล้ว เขาถอยหลังก่อนจะเริ่มกรีดร้อง
เฉินเถียนเถียนเอามืออุดปากน้องชายทันที
“หากแม่รู้ว่าเจ้ามาขโมยอาหาร เจ้าถูกเฆี่ยนจนตายแน่! หยุดร้อง… ได้ยินไหม? ออกไปคุยกันข้างนอกก่อนที่แม่ของเจ้าจะตื่น!”
เฉินเฉินฟังคำขู่ทั้งหมดพร้อมกับเริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แต่เขาก็ยอมเดินตามพี่สาวออกไปอย่างเชื่อฟัง
“ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ… แม่ผู้แสนดีของเจ้าบอกว่าข้าขโมยอาหารจนทำให้เจ้าไม่มีข้าวกินงั้นหรือ?”
เฉินเฉินส่ายศีรษะพร้อมตอบกลับ “ไม่ใช่… แม่บอกว่าข้าเป็นพวกหมาขี้ขลาด ดังนั้นจึงเอาข้าวของข้าเทให้หมาข้างถนนหมดสิ้น!”
เถียนเถียนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง หลินชวนฮวายังมีสมองอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงปลูกฝังให้ลูกคิดว่าตนเองเป็นหมาขี้ขลาด?
“เจ้าหิวมากไหม? เฮ้อ เช่นนี้นางยังเป็นแม่ที่แสนดีของเจ้าอยู่หรือไม่? จงจำไว้เถิดว่าข้าไม่ได้ขโมยอาหารจนทำให้เจ้าต้องอดอยาก เฮ้อ… ดูเอาเถิดว่าใครกันแน่ที่ทำให้เจ้าต้องอดอาหารและหิวโซเช่นนี้!”
เฉินเฉินก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย แต่เด็กเจ็ดขวบจะไปรู้อะไร?
เฉินเถียนเถียนถอนได้แต่หายใจออกอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร!
“ที่แม่พูดก็ไม่ผิดหรอก แต่ข้าเป็นคนก่อปัญหา… มันไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย เหตุใดจึงต้องให้เจ้าอดอาหารด้วย? อ้อ แล้วเจ้าบอกพ่อหรือยัง?”
เฉินเฉินพูดออกด้วยความหวาดกลัว “ข้าอยากจะบอก แต่หลังจากพ่อกลับมาถึงบ้าน แม่ก็พาพ่อเข้าห้องและล็อกประตูแน่นไม่ยอมให้ข้าได้พบเจอ ข้ายังไม่ได้พูดกล่าวกับพ่อสักคำ!”
เฉินเถียนเถียนนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เด็กคนนี้เคยกระทำกับนาง มันทั้งเจ็บปวดและทรมานยิ่ง แต่การจะถือโทษเขาก็ไม่ถูกนัก ยังไงซะนางก็ยังต้องการที่จะให้เด็กชายเติบโตอย่างมีความสุข
เด็กไม่รู้อะไร มีแต่ผู้ใหญ่ที่ยัดเยียดสิ่งต่าง ๆ ให้!
ถ้าปล่อยให้เด็กน้อยต้องหิวโหยต่อไป ภายภาคหน้าสุขภาพของเขาจะย่ำแย่
สุดท้ายแล้วความยุติธรรมในใจของเถียนเถียนก็ได้รับชัยชนะ นางถอนหายใจยาวพร้อมกับจูงมือเฉินเฉินออกไปจากบ้าน
นางให้เฉินเฉินนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำ เถียนเถียนเดินเข้าไปในโพรงหญ้าก่อนจะนำไก่ป่าอีกครึ่งตัวที่เหลือออกมา
“นี่! กินเสีย! กินเสร็จแล้วกลับบ้าน!”
ดวงตาของเฉินเฉินเบิกกว้าง… มีอาหารอยู่ในพุ่มไม้! เขาจับจ้องพร้อมคิดในใจ ‘พี่สาวของข้าเสกอาหารได้งั้นหรือ?’
เถียนเถียนจับจ้องน้องชายพร้อมกับลูบหัวของเขาอย่างเบามือ “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าก็ทำอย่างเจ้า… แอบออกมาหาของกินในตอนกลางคืน… เฮ้อ เจ้าเองก็รีบ ๆ กินเข้า หากแม่รู้ว่าเจ้าออกมานอกบ้านเช่นนี้คงถูกเฆี่ยนจนหลังขาด แล้วหลังจากนั้นอาจจะได้นอนในโรงเก็บไม้เช่นข้า”
กลิ่นหอมของไก่ป่าทำให้เฉินเฉินไม่มีสติอีกต่อไป เขากัดแทะมันอย่างมูมมามด้วยความหิวโหย
เถียนเถียนนั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นอย่างนั้นจึงอดไม่ได้จะส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมคิดในใจ ‘นางเป็นแม่ประสาอะไรกัน?’
แม่ก็คือแม่วันยังค่ำ เหตุใดจึงสามารถปล่อยให้ลูกหิวโหยได้? นางไม่เข้าใจ!
เฉินผิงอันก็ไม่เคยสนใจสิ่งใด เขาไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าลูกชายของตนซูบผอมหรือผิดแปลกไปอย่างใด… แต่ถึงแม้เขาจะรับรู้ได้ ท้ายที่สุดหลินชวนฮวาก็คงหาข้ออ้างเพื่อทำให้เขาเข้าใจจนได้
เฉินเฉินแทะไก่ครึ่งตัวนี้อยู่นานจนมันสะอาดเอี่ยมเหลือเพียงกระดูกไร้เนื้อ แต่เขากลับส่งสายตาอ้อนวอนพี่สาวราวกับว่าท้องของเขายังไม่ถูกเติมเต็ม!
เดิมทีเถียนเถียนตั้งใจว่าจะเก็บไก่ตัวนี้ไว้กินตอนเช้า… ทว่าน้องชายกลับกินมันจนหมดเกลี้ยง อาหารสำหรับพรุ่งนี้หมดไปแล้ว เช่นนั้นนางจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปล่าสัตว์บนภูเขาล่ะ?