จู่ ๆ เฉินเถียนเถียนก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ยิ่งและตอนนี้นางสอนให้เขารู้จักถูกผิดได้แล้ว
แม้หลินชวนฮวาจะต้องการปลูกฝังความคิดแย่ ๆ ให้กับเขา แต่นับจากนี้เฉินเฉินรับมือได้แน่นอน
“เจ้าต้องรู้จักเป็นคนดีด้วย เพราะหากเจ้าทำดีต่อผู้อื่น พวกเขาก็จะตอบแทนเจ้าด้วยการทำดีเช่นกัน แล้วถ้าหากมีใครรังแก เจ้าก็ต้องรู้จักป้องกันตนเองและเรียนรู้ที่จะตอบโต้!”
“เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้เมื่อถูกพี่ชายทุบตี เจ้าหนีมาข้า วิธีนี้ก็ไม่ผิด แต่เจ้าก็ต้องรู้จักหาวิธีที่พี่ชายจะไม่กล้าทำเช่นนี้กับเจ้าอีก หากยังไม่มีความสามารถที่จะตอบโต้ก็จงอดทนและซ่อนตัวให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
เฉินเฉินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“เมื่อวานนี้แม่ยอมให้เจ้าเรียนหนังสือแต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น… อย่างไรซะมันจะดียิ่งหากเจ้ายืนหยัดในสิ่งที่ต้องการ!”
เฉินเฉินยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว
“วันนี้เฉินเฉิงเยี่ยต้องฟ้องพ่อกับแม่แน่นอน โดยเขาจะบอกว่าเจ้าปฏิเสธที่จะเรียน โง่เขลาและไม่เชื่อฟัง! เช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินเฉินยืนขึ้นด้วยความโมโห “เห็นได้ชัดว่าพี่เฉิงเยี่ยทุบตีข้า แล้วเขากล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เฉินเถียนเถียนรู้สึกว่าควรสอนน้องให้รู้จักกับการยืนหยัดและไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วต่อให้เฉินเฉินจะพยายามเพียงใด เขาก็ต้องถูกหลินชวนฮวาทำลายอยู่ดี…
“แม่จะไม่ฟังคำแก้ตัวของเจ้าและจะคิดว่าเจ้าโง่เขลา! กระทั่งทุบตีเจ้า… เชื่อหรือไม่?”
เฉินเฉินส่ายหัวและนั่งลง “ไม่… พวกเขาจะไม่ทำกับข้าเช่นนั้น!”
เฉินเถียนเถียนยิ้มจางพลางลูบศีรษะของน้องชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้เอง หากพวกเขาห่วงใยและเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะตรวจสอบอย่างจริงจัง! ถ้าหากสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น โทษทั้งหมดก็จะตกไปอยู่ที่พ่อแม่ของเจ้า แต่ถ้าหากเป็นจริงดั่งเขากล่าวอ้าง ทุกอย่างก็จะกลายเป็นความผิดของเจ้าทันที!”
เฉินเฉินสะบัดมือของเฉินเถียนเถียนออกก่อนจะร้องไห้และกล่าวว่า “พ่อไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่!”
“แน่นอนว่าในตอนแรกพ่อย่อมไม่เชื่อ แต่หากโดนแม่เกลี้ยกล่อมและพูดให้ฟังทุกวัน เขาจะเชื่ออย่างแน่นอน! แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่ในสายตาของพ่อมีเพียงแม่เท่านั้นที่เก่งที่สุด! ดังนั้นไม่ว่าแม่จะพูดอะไรก็มักจะดูสมเหตุสมผลในสายตาของพ่อเสมอ!”
เฉินเฉินถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น “แล้วข้าควรทำอย่างไ? พวกเขาจะไม่เชื่อข้าได้อย่างไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร! ในสายตาพวกเขา… ข้าเป็นเพียงคนนอก ดังนั้นข้าจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรและยิ่งข้าเรียกร้อง เกรงว่าพวกเขาจะรังแกเจ้า! แต่สำหรับเจ้า… เจ้าต้องรู้ว่านักปราชญ์ยอมรับในสิ่งที่คนธรรมดายอมรับไม่ได้ จงอดทน อดทนไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร อย่าเถียงเด็ดขาด! ปีหน้าเจ้าต้องสอบเข้าโรงเรียนให้ได้ เพื่อจะมีโอกาสได้เล่าเรียนและอ่านหนังสือ และจะได้ไม่ต้องวิ่งมาฟ้องข้าอีก เข้าใจไหม?”
เฉินเฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เพราะสิ่งที่พี่สาวพูดนั้นมีเหตุผลมาโดยตลอดและครั้งนี้ก็เช่นกัน!
สองพี่น้องเดินกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ เฉินเฉินกลับไปที่ห้องนอน ขณะที่เฉินเถียนเถียนกลับไปที่โรงเก็บไม้ด้วยพร้อมกับความขุ่นเคืองทั้งหมด!
วันนี้หลินชวนฮวาไม่ได้เดินทางไปไหนจึงไม่ได้แต่งตัวสวยอะไรและเอาแต่นั่งเฉยอยู่ในบ้าน… รอยยิ้มที่เหี้ยมโหดและแววตาดุร้ายฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเฉินเฉิน
เฉินเฉินซ่อนตัวอยู่ในห้องและไม่กล้าที่จะออกมา เฉินเถียนเถียนเองก็อยู่ในโรงเก็บไม้และนอนหลับเช่นกัน
บรรยากาศการทานอาหารอันแสนสุขร่วมกับลูกชายคนโตดำเนินไปอย่างราบรื่น ส่วนเฉินเฉินซ่อนตัวอยู่ในห้องพร้อมกับได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของแม่และพี่ชาย จากนั้นความโกรธพลันก่อเกิดขึ้นในใจเขา เห็นได้ชัดว่าเขาก็เป็นลูกของหลินชวนฮวาเช่นกันแต่ทำไมจึงไม่มีสิทธ์นั่งตรงนั้น?
แต่ความโกรธก็ค่อย ๆ เลือนหายไป พี่สาวเคยบอกว่าหากใครใส่ใจเรา ให้ใส่ใจเขาตอบ แต่สำหรับคนที่ไม่หวังดีเรา ก็อย่าสนใจอะไร ต่อให้เขาจะตายตรงหน้าก็ตาม!
เฉินเฉินเข้าใจความจริงนี้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นเขาตั้งใจว่าจะไม่คาดหวังความรักจากแม่อีกแล้ว
หลินชวนฮวาไม่เคยรู้เลยว่านางกำลังจะสูญเสียอะไรไป! หรือแท้จริงแล้วในสายตานางสิ่งที่กำลังจะสูญเสียเป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เด็กแบบนี้ควรจะอยู่ใกล้กับนางมากที่สุด
เพราะเด็กคนนี้เมื่อเติบโตขึ้น เขาจะได้ยืนในจุดสูงสุดโดยที่หลินชวนฮวาคาดไม่ถึง แน่นอนว่าวันนั้นนางอาจต้องเสียใจ!
แต่ตอนนี้นางไม่คิดสนใจ เพราะไม่ว่าเด็กคนนี้จะหิวโหยแค่ไหน นางก็ไม่ยอมให้เขากินอะไรทั้งสิ้น
ในตอนเย็น เฉินผิงอันกลับมาที่บ้านและเขาได้รับเงินคืนทั้งหมดที่สูญเสียไปเมื่อวานนี้! แม้จะรู้สึกดีใจที่ได้กลับคืน แต่เงินเหล่านั้นก็ถูกจ่ายออกไปจนหมดสิ้นแล้ว!
ดังนั้นเมื่อหลินชวนฮวาถาม เขากล่าวตอบอย่างประชดประชันว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น!
เฉินเฉิงเยี่ยวางแผนไว้ว่าหากเด็กคนนี้ฟ้องพ่อ เขาจะสอนให้อีกหนึ่งบทเรียนและบอกกับเฉินผิงอันโดยตรงว่าเด็กคนนี้โง่เขลาเกินกว่าจะเรียนหนังสือ!
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉินตัวน้อยเรียนรู้ที่จะนั่งที่โต๊ะด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขากินข้าวเย็นโดยไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ซึ่งทำให้เฉินเฉิงเยี่ยรู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก
เมื่อทานอาหารใกล้เสร็จ จู่ ๆ เฉินเฉินก็พูดขึ้นว่า “พ่อ! พี่ใหญ่สามารถสอนข้าอ่านได้ แต่ข้าต้องการหนังสือ หนังสือเพื่อจะเรียนรู้… ข้าคิดว่าพี่ชายคนโตจะต้องให้ยืมอย่างแน่นอน… ใช่หรือไม่? “
เฉินเฉิงเยี่ยเกือบจะโพล่งออกมาว่า… เหตุใดข้าต้องให้เจ้ายืมด้วย!
แต่หลินชวนฮวากลับคิดแผนการชั่วร้ายได้บางอย่าง นางวางแผนที่จะมอบหนังสือที่เฉินเฉิงเยี่ยไม่ได้เรียน หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้วให้กับเฉินเฉินและหากเกิดความเสียหายต่อหนังสือเหล่านี้ นางและเฉินเฉิงเยี่ยจะสามารถใช้โอกาสนี้ที่จะลงโทษและโยนความผิดให้เด็กชายได้!
ตามที่คาดไว้ เฉินเฉิงเยี่ยแสร้งทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี เขาตบไหล่น้องชายคนเล็กแล้วพูดว่า “ตกลง! ข้าจะเอาคัมภีร์สามอักษรมาให้เจ้ายืม!”
เฉินเฉินดูเหมือนจะรู้สึกขอบคุณพี่ชายคนนี้จริง ๆ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่ใหญ่แล้ว!”
เฉินผิงอันมองดูพี่น้องทั้งสองที่ดูรักใคร่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างสบายใจ จากนั้นจึงหันศีรษะมาพูดกับหลินชวนฮวาว่า “ดูพี่น้องคู่นี้สิ หากพวกเขามีได้เติบโตเป็นขุนนางในอนาคตพวกเขาก็จะช่วยเหลือกันได้!”
หลินชวนฮวาหัวเราะเยาะในใจ แต่กลับแสร้งพยักหน้าพร้อมฉีกยิ้มอย่างมีความสุข
ในอีกมุมที่เฉินผิงอันมองไม่เห็น หลินชวนฮวายิ้มอย่างดูถูกและคิดในใจว่า ‘คนโง่เช่นเฉินผิงอันจะให้กำเนิดบุตรที่ฉลาดได้อย่างไร?’ เด็กน้อยผู้นี้ก็เปรียบเสมือนโคลนตมต่ำต้อยและนางเองก็ไม่เห็นว่าเขาเป็นลูก หลินชวนฮวาคิดเสมอว่าตนมีลูกชายเพียงคนเดียวนั่นคือ เฉินเฉิงเยี่ย! ซึ่งเป็นเติบโตกลายเป็นบุรุษผู้น่ายกย่อง!
หลินชวนฮวาเชื่อในใจเสมอว่าลูกชายของนางยังมีหวังเพราะว่าเขาเคยได้รับคำชมจากผู้เป็นอาจารย์ว่าฉลาดหลักแหลม!