หลินชวนฮวาสะบัดหน้าออกไปด้วยความโกรธจัดจนลืมว่าตนมาที่นี่เพื่อสั่งให้เถียนเถียนทำความสะอาดบ้าน… เช่นนี้นางจึงต้องจัดการเองทั้งหมด
ระหว่างเดินกลับหลินชวนฮวายังแอบคิดในใจ ‘ก็ขอให้จี๋ชื่อให้ข้าวเจ้ากินทุกมื้อก็แล้วกัน… ไม่เช่นนั้นเจ้าได้อดตายแน่นังเด็กอวดดี!’
ตกดึกเฉินผิงอันกลับมาพร้อมอารมณ์ฉุนเฉียว พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นปกติของคนที่เสียพนัน
เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมตะโกนเสียงดัง “ชวนฮวา! อาหารเสร็จหรือยัง?! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”
แม้หลินชวนฮวาจะไม่เต็มใจนัก แต่นางก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ได้มาเยอะหรือไม่?”
“หมดตัวน่ะสิไม่ว่า!”
หลินชวนฮวารู้สึกโกรธเคืองในใจ นางไม่ชอบการที่สามีโมโหร้ายใส่เช่นนี้เลย!
“สามี… ข้าควรทำอย่างไรดี? ข้าหาใครที่จะยอมรับเฉินเฉิงเยี่ยเป็นศิษย์ไม่ได้เลย… เป็นไปได้อย่างไร?! ต้องเป็นเพราะนายน้องหลี่ปล่อยข่าวเรื่องเถียนเถียนแน่ ๆ พวกเราคงต้องไปจากที่นี่!”
“หากเมืองนี้ไม่มีก็จงไปดูเมืองอื่น! ไม่ว่าข่าวลือจะไปไกลแค่ไหนก็คงไม่ไปถึงทุกเมืองหรอก!”
คำตอบนั้นเป็นดั่งที่หลินชวนฮวาคาดคิด ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายออกทันที ตอนนี้นางกำลังคิดจะใช้เงินเป็นสินบน แต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะเห็นด้วยหรือไม่
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการเอง ไม่ต้องกังวล… เฉินเฉิงเยี่ยเคยได้รับการยกย่องจากเหล่าขุนนาง จะต้องมีคนยอมรับเขาเป็นศิษย์อย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกล่าวคำ “ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากมีคนยอมรับและเฉิงเยี่ยถูกส่งตัวไป ใครจะสอนหนังสือเฉินเฉินเล่า? หากเป็นเช่นนั้นเราต้องส่งเขาไปโรงเรียน!”
หลินชวนฮวาขมวดคิ้ว แม้ครอบครัวเฉินจะมีเงินมากมายแต่เหตุใดจึงต้องใช้จ่ายเพื่อเด็กชายโง่เขลาคนนั้นด้วย?
“ลองดูก่อนสักพักจะดีไหม? เพื่อให้แน่ใจว่าเฉินเฉินเหมาะกับการเรียนหนังสือหรือไม่! หากไม่เหมาะสมจริง ๆ ก็ให้เฉิงเยี่ยเล่าเรียนคนเดียวจะได้ไม่ต้องเสียเงินมาก!”
เฉินผิงอันก็คิดเช่นกันว่าหากเขาไม่เหมาะสมจริง ๆ การส่งเฉินเฉินไปโรงเรียนก็จะเป็นการเสียเงินเปล่า! เฉินเฉิงเยี่ยก็ร่ำเรียนมาหลายปีแล้ว ส่วนเฉินเฉินเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ และเป็นเรื่องยากมากในการสอบวัดระดับ ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาด เพียงแค่ไม่รู้วิธีการอ่านเท่านั้น
ทางด้านของเฉินเถียนเถียน นางไม่ได้สนใจถึงคำพูดของหลินชวนฮวาเมื่อช่วงเย็นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งตอนนี้กำลังนอนเอนหลังอย่างสบายใจอีกด้วย
แม้จะรู้ดีว่าเฉินผิงอันต้องเชื่อฟังคำพูดของภรรยาเป็นแน่ แต่เขาจะทำอะไรนางได้เล่า?
ตกดึก หลังจากทุกคนหลับสนิท เฉินเถียนเถียนแอบหนีออกไปอีกครั้ง แต่นางไม่คาดคิดว่าเฉินผิงอันผู้เป็นพ่อจะเกิดความรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวขึ้นมา…
เพราะเฉินผิงอันไม่ได้เจอหน้าเฉินเถียนเถียนมาหลายวันแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าเถียนเถียนต้องอดอาหารมากี่วันแล้ว ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังอยู่หรือตายตกไปแล้ว…
ขณะที่เฉินเถียนเถียนมาถึงริมธาร หยุนเคอรู้ได้ทันทีว่านางคงยังไม่ได้กินอะไร ดังนั้นเขาจึงแบ่งอาหารให้ ลำห้วยนี้ไหลลงมาจากภูเขาเทพธิดาไม่มีใครรู้จักที่มาที่ไปของมัน แต่ลำธารแห่งนี้ไม่เคยแห้งแล้งเลยแม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี
เฉินเถียนเถียนถอนหายใจพร้อมยิ้มรับความเมตตาของหยุนเคอ ก่อนจะเริ่มนั่งข้างริมธารและเริ่มกินอาหาร
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ไปล่าสัตว์แล้วเพราะข้าจะปลูกบ้านใต้ภูเขา!”
คำพูดของหยุนเคอไม่ใช่การสนทนาแต่เป็นการบอกเล่า
เฉินเถียนเถียนเงียบไปพลางครุ่นคิด เพราะแม้ว่านางจะมีเงิน แต่ก็ไม่สามารถหาซื้ออาหารในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้“
“หากหิวก็ให้มาที่ถ้ำของข้า แล้วข้าจะเตรียมอาหารให้!”
ดูเหมือนหยุนเคอจะคาดเดาสถานการณ์ของหญิงสาวได้และกลัวว่าในอนาคตนางจะต้องลำบาก ดังนั้นเขาจึงรับปากที่จะดูแลนางด้วยคำพูดที่เรียบง่าย
เฉินเถียนเถียนไม่ได้คาดหวังว่า ชายเย็นชาและเคร่งขรึมผู้นี้จะเต็มใจช่วยถึงขนาดนี้
“เช่นนั้นข้าขอบคุณแล้ว อ้อ งั้นข้าจะให้เงินเจ้าแลกกับอาหาร!”
หยุนเคอส่ายหัวด้วยความสงสาร เมื่อมองดูสาวน้อยคนนี้ก็ทำให้เขานึกถึงตัวเองในอดีตและเขาก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด!
วันนี้เฉินเถียนเถียนเงียบผิดปกติ เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการล่า นางจึงพยายามทำงานให้หนักเพื่อที่จะเติมวัตถุดิบให้เต็มเถาเป่า เพราะเมื่อนางหิวจะได้ไม่ต้องรบกวนหยุนเคอมากนัก
หลังจากล่าสัตว์ได้ตามเป้าหมายแล้ว ทั้งสองจึงหยุดมือ
โดยปกติแล้ว หยุนจะต้องมอบเหยื่อครึ่งหนึ่งให้เด็กสาวคนนี้ แต่เมื่อคิดถึงความอยากลำบากในชีวิตประจำวันของนาง เขาจึงยกทั้งหมดให้นางโดยไม่พูดถึงเหตุผลอะไรสักคำ
เฉินเถียนเถียนกลับไปนอนในโรงเก็บไม้และเริ่มคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อในอนาคต?
หากไม่ได้ทำการล่าสัตว์ นางก็ต้องอดอยากและไม่รู้จะพึ่งพาใคร ไม่ต้องพูดถึงทุกคนในหมู่บ้านที่กำลังรอให้นางแต่งงาน… เพราะถ้าหาคนที่เหมาะสมไม่ได้จริง ๆ เฉินเถียนเถียนก็ต้องออกจากหมู่บ้านนี้ไปตามคำสั่งของผู้เฒ่า นางเกรงว่าตนเองจะตกไปอยู่ในกำมืองของหลินชวนฮวาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นนางจึงคิดว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากป้าจี๋ชื่อ เพราะในหมู่บ้านนี้มีเพียงป่าจี๋ชื่อเท่านั้นที่เอ็นดูและคอยช่วยเหลือนางอย่างเต็มใจ
เฉินเถียนเถียนหลับไปพร้อมกับความสับสนเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นเฉินเฉินวิ่งเข้ามาในโรงเก็บไม้และเขย่าตัวนางอย่างแรง
เฉินเถียนเถียนพาเฉินเฉินขึ้นมาบนภูเขาอีกครั้ง พวกเขาทั้งสองคนตรงมาที่ถ้ำของหยุนเคอ
สถานที่แห่งนี้ดึงดูดเด็กน้อยเป็นอย่างมาก เด็กชายเอ่ยปากถามด้วยความใคร่รู้ “พี่สาว… ใครอาศัยอยู่ที่นี่? คนเถื่อนไม่ใช่หรือ?”
เฉินเถียนเถียนมองหน้าหยุนเคอและเห็นว่าหนวดเคราอันรุงรังทำให้หยุนเคอดูไม่ต่างอะไรจากคนป่าเลย!
“อืม!”
เฉินเฉินตื่นตระหนกพร้อมกระโดดจับมือพี่สาว เขาคิดที่จะพาเถียนเถียนหนี!
“พี่สาว… เขาเป็นคนป่ามิใช่หรือ? เรารีบไปกันเถอะ”
เฉินเถียนเถียนยืนนิ่งและปฏิเสธที่จะจากไป “เฉินเอ๋อ… หากเจ้าอยากเป็นนักปราชญ์ เจ้าควรรู้ว่าข่าวลือนั้นไม่น่าเชื่อถือ ทุกคนบอกว่าเขาเป็นคนป่าเถื่อนแล้วเจ้าเคยเห็นกับตาตนเองหรือไม่?”
เฉินเฉินส่ายหัวและไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอกว่าชายผู้นี้เป็นคนป่าและดุร้าย…
“ก็จริงที่ว่าหยุนเคอมีหนวดเคราอยู่เต็มไปหมดและเขาอาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้ ไม่ผิดที่จะเรียกเขาว่าคนป่าเถื่อน แต่ดูเหมือนคนป่าเถื่อนคนนี้จะไม่เคยทำร้ายใครเลย… ใช่หรือไม่?”
“ผู้คนมักกลัวสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเสมอ แต่หยุนเค่อไม่เคยทำร้ายเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าเขาเป็นคนป่าเถื่อน?”
เฉินเฉินยิ้มกว้างอย่างเข้าใจ “พี่สาวของข้าพูดถูกที่สุด ในเมื่อพี่บอกว่าเขาเป็นคนดี แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนดี!”
“ไม่! ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ แต่อย่างน้อยจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยทำร้ายข้าเลย แต่กลับช่วยเหลือด้วยซ้ำ เฉินเอ๋อ… มันยากที่จะบอกว่าใครเป็นคนดีหรือชั่วร้าย บางคนที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าดี แท้จริงแล้วกลับเป็นคนชั่วก็มีถมไป แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เจ้าต้องรู้จักบุญคุณเพราะเขาใจดีต่อข้าและเจ้า เช่นนี้เจ้าควรกตัญญูต่อเขา ไม่ใช่ทำให้เขาขุ่นเคืองเพียงเพราะคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี”