บทที่ 2 ท่านชายฉินคนที่สามเป็นสามีในอนาคตของฉัน
ภายใต้แสงไฟที่สว่างไสวในห้องหนังสือ
ผู้ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ที่เผยให้เห็นนาฬิกาสำหรับสุภาพบุรุษออกมาที่แขนเสื้อของเขา
เขากำลังก้มหน้าอ่านเอกสาร ด้วยบุคลิกหน้าตารูปงาม สง่างามไร้ที่ติ
เมื่อเขาอ่านจบไปหนึ่งหน้าแล้ว เขาก็พูดเบาๆ “พรุ่งนี้เรียกเงินกู้ที่เคยให้ซูซื่อกรุ๊ปคืนด้วยนะ”
ผู้ดูแลบ้านก้มหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ “ครับ”
เมื่อพูดจบ เขาก็นึกสงสัยขึ้นมา “คุณผู้ชายครับ ขอโทษที่ผมพูดมากนะครับ ครั้งนี้ผมคิดว่าคุณซูเธอ…….ไม่เหมือนกับผู้หญิงสองคนที่ผ่านมานะครับ”
เมื่อเช้า ผู้ดูแลบ้านเป็นคนพาซูสือเยว่เข้ามา
ใบหน้าของเธอนั้นใสซื่อพร้อมกับดวงตาใส แค่มองก็รู้ว่าไม่มีเจตนาร้ายแฝงแน่นอน แต่เป็นคนที่น่ารักคนหนึ่ง
จากคฤหาสน์ตระกูลซูมาสู่คฤหาสน์ตระกูลฉิน เธอไม่ค่อยพูดอะไรมาตลอดทาง แต่หนึ่งในประโยคที่เธอพูดคือ ท่านชายฉินคนที่สามชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ราวกับว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องข่าวลือภายนอก เธอไม่ได้ใส่ใจเลย
ตั้งแต่ที่คุณหนูทั้งสองคนได้สวมบทแสดงใบหน้าที่น่าเกลียดของคุณชาย แล้วก็เล่นงานผู้หญิงสองคนนั้นจนข่าวลือได้เผยแพร่ออกไป ผู้หญิงที่ไม่กลัวคุณชายสามแบบนี้ ซ้ำยังพยายามที่จะรับใช้คุณชายอย่างเต็มที่แบบนี้มันหายากมากๆ
ถ้าหากเสียคนนี้ไป ผู้จัดการคิดว่ามันไม่คุ้มค่า!
แต่ว่าผู้ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกลับไม่ใส่ใจ “แม้แต่การทดสอบง่ายๆแบบนี้ยังไม่ผ่านเลย มีอะไรให้น่าเสียดายหรอ”
ผู้ดูแลบ้าน: “……..”
คุณผู้ชาย นี่เรียกว่าแบบทดสอบง่ายๆหรอครับ?
เครื่องแต่งกายของคุณชายน้อยซิงเฉินแบบนั้น แม้แต่ชายมีอายุอย่างเขาที่อายุกว่าห้าสิบปีแล้วได้เห็นภาพนั้นทีไรเขาก็ตกใจจนตัวสั่นทุกที นับประสาอะไรกับหญิงสาว ที่อายุยี่สิบต้นๆที่ใสซื่อล่ะ!
ผู้ดูแลบ้านถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วเมื่อไหร่เขาจะแก้ปัญหาส่วนตัวให้เจ้านายได้กันนะ?
กังวลจัง
และในขณะนั้น ก็มีเสียงกริ่งดังมาจากชั้นล่าง
ซูสือเยว่กดกริ่งหน้าบ้านด้วยร่างที่สั่นเทา
จริงๆเธอวิ่งหนีออกไปไกลมากๆแล้ว
เธอกลัวความมืดอยู่แล้ว แล้วเธอก็ต้องมาเจอตัวประหลาดตอนที่ไฟมาอีก เธอในตอนนั้นเต็มไปด้วยความกลัวเลยนะ!
แต่เมื่อความกลัวของเธอเลือนหายไป เธอก็คิดว่าเธอไม่ควรจะหนีมัน
เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าหลังจากที่ฉินโม่หานถูกไฟครอก จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกับหน้าตาที่ขี้เหร่
ในเมื่อเธอตกลงที่จะแต่งงานแล้ว เธอจึงควรจะรักษาสัญญาและไม่ควรจะหนีไปไหน
ดังนั้นหลังจากที่เธอลังเลอยู่นาน สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจกลับมา
หลังจากที่เธอกดกริ่งด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอแล้ว หัวใจของเธอ ก็เต้นอย่างบ้าคลั่งอย่างอดไม่ได้
เธอไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าของใบหน้านั้นอีก
แต่เธอรู้ดี ว่าเธอต้องเอาชนะให้ได้ เพราะว่าในอนาคต เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาอีกนาน
เมื่อเสียงกระดิ่งดังไปสักพักหนึ่ง ประตูก็เปิดออก
สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ คนที่เปิดประตูไม่ใช่ฉินโม่หาน และไม่ใช่คนใช้ แต่เป็นเด็กที่อายุราวๆสี่ห้าขวบ ที่ดูเย็นชา
ถ้าหากแถวนี้ไม่ได้มีคฤหาสน์เพียงหลังเดียว ซูสือเยว่คงคิดว่าตัวเองมาผิดแล้ว
เด็กชายมองซูสือเยว่ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขก แล้วก็ชี้ไปที่ตำแหน่งของโซฟา เพื่อเป็นการบ่งบอกให้ซูสือเยว่นั่งลง
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปาก ถึงแม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้มาจากไหน แต่ว่าเธอรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มุ่งร้ายต่อเธอ
เธอนั่งลงบนโซฟาด้วยร่างที่สั่นเทา แล้วเด็กชายก็รินน้ำร้อนมาให้เธอ
“ขอบคุณนะ”
เธอถือแก้วน้ำนั้น แล้วสภาพจิตใจของเธอก็ค่อยๆดีขึ้น
เด็กชายตัวน้อยมองมาที่เธอ ก่อนจะเดินไปทางตู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วก็หาอะไรบางอย่าง
“ว้าว”
ราวบันไดชั้นสอง มีเด็กที่หลอกซูสือเยว่ก่อนหน้านี้ยืนเบิกตาโตอยู่ มองไปที่ภาพชั้นล่างของคฤหาสน์ “เธอกลับมาแล้วหรอเนี่ย?”
“แด๊ดดี้ครับ ให้ผมไปหลอกให้เธอตกใจกลัวอีกครั้งดีมั้ยครับ?”
ชายร่างสูงที่ดื้อรั้นยืนอยู่ภายใต้เงามืด ก่อนจะมองลงไปที่หญิงสาวที่หดตัวเป็นก้อนที่ชั้นล่าง แล้วก็เหลือบไปมองลูกชายที่กำลังหากล่องยา แล้วเขาก็ขมวดคิ้วขึ้น “อย่า”
คนนอกรู้เพียงแค่ว่าเมื่อห้าปีก่อนฉินโม่หานนั้นไฟครอกจนทำลายรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขา จนรูปลักษณ์ของเขานั้นดูประหลาดน่ากลัว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ ว่าหลังจากที่เหตุไฟไหม้เมื่อห้าปีก่อน เขาได้มีลูกแฝด
ลูกชายคนโตซิงหยุนเป็นคนเย็นชาไม่ชอบพูดจา ลูกชายคนที่สองซิงเฉินเป็นเด็กที่ซุกซนและแปลกๆ
แต่ในตอนนี้ ซิงหยุนที่เย็นชา กลับหาน้ำมาให้ผู้หญิงแปลกหน้า อีกทั้งยังหายาให้……….
“โอ๊ย——!”
เพียงสำลีที่ชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเย็นเยือกนี้สัมผัสกับแผลที่ขาเรียวของเธอ ซูสือเยว่ถึงได้รู้ ว่าเมื่อสักครู่เธอรีบวิ่งมากเกินไป จนไม่รู้ว่าตัวเองได้แผลที่ขามาได้ยังไง
เธอก้มหน้า ตรงหน้าของเธอมีเด็กน้อยที่มือข้างหนึ่งถือน้ำยาฆ่าเชื้อ อีกข้างหนึ่งก็ล้างแผลให้เธออย่างระมัดระวัง
ดวงไฟขนาดใหญ่สาดส่องมากระทบกับขนยายาวของเขา ทำให้เห็นเงาที่เปลือกตาของเขาเล็กน้อย
เด็กผู้ชายที่เด็กขนาดนี้ แต่จิตใจกลับอ่อนโยน
หัวใจของซูสือเยว่อุ่นขึ้นมาทันที แม้แต่เสียงของเธอก็อบอุ่นตาม “เด็กน้อย ชื่ออะไรคะ?”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เด็กน้อยล้างแผลให้เธอ ก่อนจะเอาผ้ามาปิดแผลของเธอ
“ซิงหยุนครับ”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองซูสือเยว่ “ชื่อของผม”
ซูสือเยว่มองใบหน้าที่น่ารักและมือเล็กๆของเด็กน้อย ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะมีความคิดที่อยากจะสัมผัส แต่เด็กน้อยเลี่ยงอย่างเฉลียวฉลาด
เขาก้าวเท้าก่อนจะเดินไปไปที่โซฟาตรงข้ามของเธอ แล้วก็ปีนขึ้นไปนั่ง
ดวงตาใสๆนั้นมีวุฒิภาวะไม่เหมือนอายุของเขาเลย เขามองเธอ “กลับมาทำไมครับ?”
กลับมาทำไมงั้นหรอ?
ซูสือเยว่หัวเราะ “เพราะว่าที่นี่กำลังจะเป็นบ้านในอนาคตของฉันไง”
“แล้วท่านชายฉินคนที่สามก็จะเป็นสามีของฉัน ฉันก็ต้องมาสิจ๊ะ”
ซิงหยุนน้อยก้มหน้าพร้อมกับจัดการกับมือเล็กๆของตัวเอง “คุณไม่กลัวหรอครับ?”
ซูสือเยว่อึ้งไปอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมเด็กคนนี้รู้เยอะจังนะ?
แต่ เธอก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “กลัวสิ แต่ฉันไม่มีทางเลือกน่ะ”
“ฉันได้ตกลงที่จะแต่งงานกับเขาแล้ว ฉันจะเสียใจทีหลังไม่ได้หรอกนะ”
เธอไม่ใช่คนที่จะหลบหนี นอกจากนี้ ถ้าในครั้งนี้เธอทำให้เรื่องนี้วุ่นวาย แล้วซูจิ่นเฉิงไม่ได้เงินทุนนั้นล่ะก็ ชีวิตของเธอต่อจากนี้ต้องอยู่อย่างไม่สุขแน่ๆ
“เขา……..ถึงท่านชายฉินคนที่สามจะขี้เหร่กว่านี้ จะน่ากลัวมากกว่านี้ ฉันก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะมัน แล้วก็เป็นภรรยาที่ดีของเขาให้ได้”
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอต้องพูดเรื่องแบบนี้กับเด็กน้อยที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกทำไม เด็กคนนี้คงฟังในสิ่งที่เธอพูดไม่รู้เรื่องหรอกใช่มั้ย?
แต่การได้อยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ นอกจากเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เธอก็ไม่สามารถเอาเรื่องนี้ไปบอกใครแล้วนี่นา
“เขาไม่ได้ขี้เหร่ครับ”
ซิงหยุนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขามองมาที่ ซูสือเยว่อย่างจริงจัง “คุณวางใจได้เลยครับ”
ซูสือเยว่: “…….”
นั่นเรียกว่าไม่ขี้เหร่หรอ?
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเจอเขาเสียหน่อย!
แต่ว่าเนื่องจากอยู่ต่อหน้าเจ้าเด็กคนนี้ ซูสือเยว่เลยไม่กล้าที่จะเผยสีหน้าที่แท้จริงของเธอออกต่อหน้าเด็กคนนี้หรอก
เธอหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้ม “หิวรึยังล่ะ? เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้กินดีมั้ย?”
ซูสือเยว่ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ เพียงแค่ทำอาหารอร่อยมากๆเท่านั้น
การเผชิญหน้ากับเด็กน้อยที่ทั้งหน้าตาดีและใจดีคนนี้ เธอนึกวิธีการที่จะทำให้ใกล้ชิดสนมและอยากขอบคุณคนนี้ขึ้นวิธีหนึ่ง ก็คือการทำอาหารให้เด็กคนนี้กิน
ซิงหยุนน้อยก้มหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเท่ๆ “คุณมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงครับ”
ซูสือเยว่ตกใจ
“หลังจากสองทุ่มผมไม่กินอะไรแล้วครับ ตอนนี้ทุ่มยี่สิบแล้ว”
และแล้ว ซูสือเยว่ก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องครัวทันที
ในห้องครัวนั้นสะอาดสะอ้านมาก ถึงแม้ว่าวัตถุดิบจะมีไม่มาก แต่เครื่องปรุงที่ควรมีก็มีหมด
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่กำลังวุ่นวายอยู่ในห้องครัว ชายและเด็กชายอีกคนก็อยู่กับอย่างเงียบๆ
“แด๊ดดี้ครับ แด๊ดดี้ว่าเธอคิดจะทำอะไรครับ?”
ซิงเฉินน้อยเกาะอยู่ที่ราวบันได ก่อนจะเบะปาก “คิดจะเอาอาหารมาเอาใจพี่ชายผมหรอ คิดมากไปรึเปล่าครับ?”
“พี่ชายผมน่ะขึ้นชื่อเรื่องการเลือกกินเลยนะ”
ฉินโม่หานมองซูสือเยว่ด้วยดวงตาสีเข้ม
ผู้หญิงคนนี้ ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับเขาอย่างอธิบายไม่ถูก