“แต่ว่า”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเหลือบมองฉินโม่หานแวบหนึ่ง “แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่วิลล่าหยุนสุ่ย”
ไม่ได้แค่รู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น แถมยังหาตัวเธอเจอในวิลล่าได้อย่างแม่นยำอีก
ฉินโม่หานขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ผมส่งข้อความหาคุณ”
ซูสือเยว่ “?”
“คุณส่งข้อความให้ฉันตอนไหนกัน?”
ฉินโม่หานกวาดตามองเธออย่างเย็นชา “ไม่รู้จริงๆ เหรอว่านั่นคือผม?”
ซูสือเยว่ “ใครจะ…”
เธอยังพูดไม่ทันพูดจบ ก็คิดขึ้นมาได้ หมายเลขที่บันทึกลงในโทรศัพท์คำว่า “ที่รัก” เอาไว้นั่น!
ก่อนหน้านี้เธอก็คิดว่าเป็นฟู๋เชียนเชียนมาตลอด แต่ไม่คิดเลยว่า
หญิงสาวเม้มริมฝีปากไว้แน่น พร้อมทั้งยิ้มแห้งๆ ให้ “เอ่อ ที่รักคือคุณเหรอ”
“งั้นสิ”
ดวงตาลึกซึ้งที่มองไม่เห็นแววตาของชายหนุ่มจ้องมองเธออย่างเรียบเฉย “หรือว่าคุณนายฉินไม่รู้?”
ซูสือเยว่เม้มปาก เมื่อคิดว่าระยะนี้ตนเองมักจะพูดออดอ้อนจนหวานเลี่ยนกับเบอร์นั้นอยู่บ้าง จนถึงขั้นเขินอายจนขนหัวลุกขึ้นมา “ฉัน….”
“ดูเหมือนว่าคุณนายฉินจะคิดว่าผมเป็นคนอื่นไปแล้วจริงๆ”
ชายหนุ่มย่อตัวลง พร้อมทั้งกักตัวเธอระหว่างตัวเขากับช่องว่างในรถ “ที่แท้คุณนายฉินก็มีคนรักตั้งเยอะแยะเหรอเนี่ย?”
ซูสือเยว่ “…”
เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ว่าที่รักเอาไว้เนี่ย!
ร่างกายของเขาเขยิบเข้าหาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจของซูสือเยว่เต้นโครมครามไม่หยุด
เธอเม้มริมฝีปาก สัญชาตญาณผลักดันหน้าอกแข็งแกร่งของเขา “เอ่อคือ ฉัน …”
“ฉันไม่ได้คิดว่าคุณคนอื่นเลย!”
“ฉันก็คือคุยกับคุณไง!”
ท่ามกลางสถานการณ์คับขัน เธอก็แค่แถหน้าด้านยอมรับไป
ริมฝีปากบางของชายหนุ่มค่อยๆ กระตุกขึ้นเล็กน้อย “นี่แหละที่เรียกว่าเด็กดี”
เมื่อเห็นว่าอากัปกิริยาของเขาผ่อนคลายลงแล้ว ซูสือเยว่สูดหายใจเข้าเต็มปอด เดิมก็คิดว่าจะผ่านพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะจู่โจมบีบปลายคางของเธอเอาไว้ และจัดการจูบเธออย่างเผ็ดร้อน
ฉากกั้นในรถพลันลดระดับลงมาอย่างทันที
ชายหนุ่มกดเธอลงบนที่นั่งหนังแท้ พร้อมทั้งพร่ำจูบริมฝีปากของเธอ ลำคอของเธอ ไหปลาร้าของเธออย่างหน้าไม่อาย
ซูสือเยว่หมดเรี่ยวแรงในการต่อต้าน ทำได้แค่ผลักเขาออกเบาๆ “อย่า…”
แต่ความรู้สึกภายในใจ เธอไม่อยากจะปฏิเสธ
บางทีการที่หัวใจเคร่งเครียดอยู่นานมันต้องมีการระบายออกมา บางทีต้องการการยอมรับกับความรู้สึกปลอดภัยที่ได้กลับมา …
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปากเธอจะพร่ำบอกว่าไม่ยินยอม แต่การตอบสนองนั้นเป็นการเชื้อเชิญ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จนซูสือเยว่รู้สึกว่าตนเองเป็นปลาขาดน้ำรวยรินเต็มที จนเกือบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว รถยนต์ก็มาถึงวิลล่าของตระกูลฉินพอดี
ตัวเธอถูกชายหนุ่มใช้เสื้อโค้ตห่อเอาไว้ ราวกับเหมือนอุ้มเด็กน้อยกลับบ้านเช่นนั้น
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกและปิดลงในทันที
หญิงสาวตัวน้อยถูกตรึงไว้ที่บานประตู พลันเม้มริมฝีปากอย่างออดอ้อนหมดเรี่ยวแรง “ฉินโม่หาน..”
“เรียกว่าสามีสิ”
เขาบรรจงจูบที่ใบหูของเธอ น้ำเสียงช่างล่อใจมาก
“สามี…”
“อืม”
เขาพลันหัวเราะเบาๆ ข้างใบหูของเธอ จากนั้นก็ขบติ่งหูของเธอทันที
“หรือว่า?” ’
ใบหน้าของซูสือเยว่แดงแจ๋จนกลายเป็นลูกแอปเปิลสุกแก่จัดเต็มที
เธออายจนต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้ และพยักหน้าให้
ดวงไฟประดับประดาสร้างสีสันสวยงามละลานตา
ตลอดทั้งคืน เธอทะยานไปสู่สรวงสวรรค์บ้างก็ลงขุมนรกกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้ไม่หยุดหย่อน
จนสุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มจับปลายคางของเธอเอาไว้ นัยน์ตาลึกซึ้งแสดงความจริงจังออกมา “ฉันไม่มีวันทำให้คุณเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาได้”
หัวใจของซูสือเยว่หวั่นไหวทันที น้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา
เธอไม่คิดเลยว่า เขารู้ว่าในใจของเธอนั้นมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยและตื่นตระหนกอยู่
หญิงสาวยื่นแขนออกไป จากนั้นกระหวัดเกี่ยวกอดเขาเอาไว้แน่น “ขอบคุณนะคะ”
เมื่อคืนนี้ เธอถูกฉินโม่หานทรมานจนถึงตีสี่กว่า ถึงหมดเรี่ยวหมดแรงจนผล็อยหลับไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น เป็นเพราะว่าเธอถูกซิงเฉินปลุกให้ตื่น
“หม่ามี๊!”
“หม่ามี๊หม่ามี๊ตื่นเร็ว!”
“หม่ามี๊”
เสียงเด็กน้อยไพเราะเสนาะหูคนนี้ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซูสือเยว่นวดบริเวณหัวคิ้วอันแสนเจ็บปวด พลางลุกขึ้นจากเตียง “ทำไมเหรอ?”
“ข้างล่างมีคุณอาตำรวจมาหาแม่!”
ตำรวจ….
น่าจะมาหาเธอเพื่อเรียกสอบปากคำ
เพราะว่าเมื่อวานนี้ซูโม่ถูกจับ เธอก็เป็นคนที่ชี้เบาะแส
หญิงสาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีและเดินลงชั้นล่าง
ด้านล่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงนายหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกับซิงหยุนที่โซฟา
“คุณนายฉิน”
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินลงมาแล้ว นายตำรวจหญิงก็ลุกขึ้นและยิ้มให้ทันที “เมื่อคืนดึกไปหน่อย เลยไม่ได้สอบปากคำคุณ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพอจะมีเวลาไหม?”
ซูสือเยว่พยักหน้าให้ พร้อมทั้งใช้ยางมัดผมจัดการมัดผมให้เรียบร้อย “ฉันจะไปกับคุณ”
ไม่ว่าจะทำเพื่อตนเองหรือว่าลั่วเยียนก็ตาม ครั้งนี้เธอต้องใช้กฎหมายจัดการซูโม่ให้ได้!
นายตำรวจหญิงยังไม่รู้บอกลากับซิงหยุน จากนั้นก็พาตัวซูสือเยว่เดินออกไป
“น่าอิจฉาคุณนายฉินจริงๆ เลยค่ะ มีลูกชายทั้งเท่และฉลาดทั้งสองคนเลย”
เมื่อขึ้นรถตำรวจแล้ว นายตำรวจหญิงยังไม่หยุดเอ่ยถึง “เมื่อครู่ตอนที่ฉันมาถึงบ้านตระกูลฉินนั้น ฉันยังแปลกใจมาก ว่าทำไมถึงได้มีเด็กที่หน้าตาดีขนาดนี้”
“จนที่ฉันได้เห็นคุณนายฉินนี่แหละ ถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะยีนของคุณที่สืบทอดให้พวกเขานี่เอง!”
ซูสือเยว่ได้แต่ยิ้มให้อย่างเขินอาย “พวกเขาสองคนฉันไม่ได้เป็นคนคลอดหรอก”
นายตำรวจหญิงเบิกตาโต
“คุณนายฉินคุณก็อย่าล้อฉันเล่นเลย ดวงตาของซิงหยุนกับซิงเฉินเหมือนคุณซะขนาดนั้น แล้วจะไม่เป็นลูกของคุณได้อย่างไรกัน?”
“ตอนที่ฉันเห็นแวบแรก ก็รู้สึกว่าพวกคุณสามคนแม่ลูกดวงตาเหมือนกันมาก…”
ซูสือเยว่ตะลึงอยู่ชั่วครู่ จิตใต้สำนึกจ้องมองดวงตาคู่นั้นของตนเองที่สะท้อนมาจากกระจกรถยนต์
ดวงตาของเธอกับซิงเฉินและซิงหยุนเหมือนกันมากเลยเหรอ?
เมื่อก่อนนี้เธอไม่เคยสังเกตเรื่องนี้มาก่อนเลย
ไม่นาน รถก็มาถึงสถานีตำรวจแล้ว
ซูสือเยว่ทำตามขั้นตอนให้ปากคำตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอก พร้อมทั้งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ได้ยินมา ได้เห็นมา บอกออกไปทั้งหมด
หลังจากที่ให้ปากคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว บังเอิฐเจอกับเฉินฟางและซูจิ่นเฉิงที่มาเยี่ยมซูโม่พอดี
“ซูสือเยว่!”
เมื่อเห็นเธอ เฉินฟางก็โกรธเคืองและพุ่งเข้ามาหาเธอทันที และจับคอเสื้อเธอไว้แน่น “แกคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“โม่โม่ถูกใส่ร้าย!”
“เพื่อนของแกเกิดเรื่องแล้ว ทำไมต้องใส่ร้ายป้ายสีโม่โม่ด้วย!”
“พวกเราตระกูลฟางก็ไม่ได้ไม่สนใจแก! หลายปีที่ผ่านมา แม่ว่าพวกเรารู้ว่าแกไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของเรา กระทั่งพวกเรารู้ว่าแกเกิดขึ้นมาอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย แต่ว่าพวกเราก็ยังคงให้แกอยู่ที่ตระกูลฟางอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“แถมยังการแต่งงานกับตระกูลฉินที่ดีขนาดนั้น พวกเราก็สงสารแกเลยให้แกแต่งออกไป!”
“แต่แกกลับมาล้างแค้นทวงบุญคุณกับเรา อีจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!”
ซูสือเยว่ได้แต่แสยะยิ้มเย็นชาในใจ พลันสะบัดแขนของเฉินฟางออก “เหรอ?”
“คุณนี่มันช่างรักษาความเป็นผู้ดีบนหน้าได้ดีนี่”
“ที่คุณให้ฉันไปอยู่ที่บ้านตระกูลฟาง ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อให้ฉันไปเป็นขี้ข้าคอยรับใช้พวกคุณหรอกเหรอ?”
“ไอ้ที่ปากพูดว่าการแต่งงานที่แสนดี ไม่ใช่เพราะว่าซูโม่ไม่อยากแต่ง เลยใช้คำว่าบุญคุณในการเลี้ยงดูมาส่งตัวฉันใส่พานถวายฉันให้แต่งออกไปเหรอ?”
คำพูดของหญิสาว มันเรียกสายตาคนรอบข้างได้มากมาย
สายตาคนที่อยู่รอบข้างยิ่งทำให้ใบหน้าของเฉินฟางนั้นทั้งแดงทั้งขาวไปพร้อมๆ กัน
เธอต้องการหน้าตา จะมาเสียหน้าเพราะคนคนนี้ได้อย่างไร?
ด้วยความโกรธแค้นของเธอเลยควานหาใบมีดโกนเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พลันพุ่งเข้าหาใบหน้าของซูสือเยว่ทันที–
ทว่ามีมืออันหยาบกร้านมือใหญ่ได้ขวางด้านหน้าซูสือเยว่เอาไว้ก่อน
วินาทีต่อมา เฉินฟางเจ็บปวดข้อเข่าขึ้นมาทันที คนทั้งคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น ใบมีดโกนของเธอนั้นหันมาแทงทะลุฝ่ามือของเธอเองแทน เจ็บปวดจนทำให้เฉินฟางกรีดร้องระงม
ซูสือเยว่ตั้งท่าป้องกันตัว แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
เธอขมวดคิ้ว พลันหันศีรษะกลับไปมองผู้ชายที่ไม่รู้จักที่ขวางอยู่ด้านหน้าของตนเอง
ดูแล้วเหมือนว่าชายหนุ่มอายุอานามสามสิบกว่าแล้ว รูปพรรณสัณฐานหยาบกร้านและดุดัน รัศมีที่แผ่ออกจากตัวมีความเป็นผู้ชายเต็มตัว
ตอนที่เธอมองเขา ผู้ชายคนนั้นก็หันศีรษะมาเหลือบมองเธอเช่นกัน “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอเม้มริมฝีปากและพูดขอบคุณกลับ
แม้ว่าถึงจะไม่มีคนมาช่วยเธอจากเฉินฟางแต่เฉินฟางก็ไม่สามารถทำร้ายเธอได้ แต่ว่ามีคนยอมออกแรงช่วย เธอย่อมขอบคุณกลับอยู่แล้ว
“ขอบคุณทำไม”
ชายหนุ่มยิ้มตอบเธอ “อาศัยฝีมืออย่างคุณ เธอก็คงไม่สามารถทำร้ายคุณได้อยู่ดี”
“แต่ว่าการเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนแอ การได้รับการปกป้องจากคนอื่นถือว่าเรียกความปลอดภัยมากขึ้น”
ซูสือเยว่จ้องมองเขาอย่างตื่นตระหนก
เขารู้ถึงฝีมือของเธอได้อย่างไร…
ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ลงมือด้วยซ้ำ!
หรือว่าเขามองออกถึงวิธีการตั้งท่ารับของเธอว่าเธอเป็นคนมีฝีมือ?
เรื่องนี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้วมั้งเนี่ย ….
“คุณฉิน!”
มีคนตะโกนเรียกมาแต่ไกล
ซูสือเยว่ตะลึงทันที จิตใต้สำนึกหันไปตามเสียงเรียก
ตั้งแต่ที่เธอแต่งงานฉินโม่หานแล้ว เธอมักจะหวั่นไหวกับคำว่า “คุณฉิน” อยู่เสมอ
“มาแล้ว”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอนั้นส่งเสียงงึมงำออกไป และหันเหลือบไปมองเธอ “ขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าเดินจ้ำอ้าวเดินไปทันที
เมื่อมองแผ่นหลังของเขา ซูสือเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาก็แซ่เฉินเหรอ?
ไม่รู้เพราะอะไร เธอมักรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ … มีความสัมพันธ์กับตระกูลฉินหรือไม่?