สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ – ตอนที่ 114 หรือว่านี่คือสวรรค์บัญชา

“ซูสือเยว่ ถ้าเกิดว่าเฉินฟางกับโม่โม่มีเรื่องเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันปล่อยแกไป!”

ซูจิ่นเฉิงพูดทิ้งท้ายไว้อย่างร้ายกาจและเดินออกไปทันที

ซูสือเยว่ยืนอยู่ที่เดิม และจ้องมองที่เขาคอยประคองตัวเฉินฟางเดินออกไป นัยน์ตาฉายความเย็นชาออกมาเรื่อยๆ

ไม่นานนัก โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมาทันที ซิงเฉินเป็นคนโทรเข้ามา

เธอรู้ว่า เขาน่าจะยืนรอหน้าประตูสถานีตำรวจอย่างร้อนรนแน่ๆ

พลันใช้นิ้วตัดสายทิ้ง ซูสือเยว่หันตัวกลับ และเดินอาดๆ ออกไปจากสถานีตำรวจทันที

“คุณฉิน มองอะไรอยู่เหรอ?”

“ไม่มีอะไร”

มุมห้องในสถานีตำรวจ ฉินหลิงยี่ดึงสายตากลับมา “ผู้หญิงคนนั้นมาทำอะไร?”

คนข้างๆ เหลือบมองแผ่นหลังของซูสือเยว่ “อ้อ เธอมาทำลงบันทึกประจำวัน เมื่อวานนี้เพื่อนของเธอถูกคนลักพาตัวไปทรมาน”

ชายหนุ่มพยักหน้าทันที พลันหันหน้าไปหาคนที่อยู่ข้างกาย “เพื่อนเธอเกิดเรื่องขึ้น ส่วนเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“คุณว่าท่าทางของเธอจะเกิดเรื่องไหมล่ะ? เธอต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว”

คนคนนั้นยิ้มให้ “ท่านชายฉิน ท่านก็อยู่เป็นโสดอายุปาเข้าไปสี่สิบแล้ว ทำไม อยู่ดีๆ เกิดสนใจเด็กคนนี้มากเลย?”

ฉินหลิงยี่กวาดตาจ้องเขาอย่างเย็นชา

บรรยากาศโดยรอบพลันหนาวเย็นขึ้นมาทันที

คนคนนั้นกระแอมออกมาอย่างเขินอาย “ฉันก็แค่แปลกใจเท่านั้นเอง ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดถูกใจคนแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาได้?”

“เธอไม่ใช่คนแปลกหน้า เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาก่อนหน้านี้แล้ว”

ฉินหลิงยี่ขมวดคิ้วเอาไว้ พร้อมทั้งเหลือบมองทางที่ซูสือเยว่เดินออกไป

แต่ว่าดูจากท่าทางแล้ว เธอคงจดจำเขาไม่ได้แล้ว

เรื่องเมื่อห้าปีก่อน เธอ…ลืมไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ?

……

ด้านนอกประตูสถานีตำรวจ

ซูสือเยว่เปิดประตูรถและสอดตัวเข้าไปในตัวรถทันที

“หม่ามี๊ แด๊ดดี้เพิ่งโทรศัพท์เข้ามา ให้พวกเรากลับไปที่บ้านหลังเดิมเดี๋ยวนี้เลย!”

พอเธอขึ้นรถ ซิงเฉินก็อ้าปากถามเธออย่างร้อนรน “แด๊ดดี้รอพวกเราอยู่ที่ประตูบ้านหลังเดิม!”

ซูสือเยว่พยักหน้าเล็กน้อย สัญชาตญาณเหลือบมองเสื้อผ้าของตนเอง “ฉันใส่เสื้อผ้าไปแบบนี้ ….มันจะเหมาะสมไหมเนี่ย?”

แม้ว่าท่านปู่ของตระกูลฉินเธอก็เคยเจอหน้าเจอตากันมาก่อนแล้ว แต่ว่าพี่ชายทั้งสองคนของฉินโม่หาน การไปของเธอในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน

ฉินโม่หานคือลูกหลงมา

แม้ว่าตอนนี้เขาอายุ28ปี แต่ว่าพี่ชายของเขาทั้งสองคนอายุมากแล้ว ขนาดพี่รองของเขายังอายุเกือบสี่สิบเลย

ซูสือเยว่มักรู้สึกว่าการที่ต้องไปเจอกับพี่ชายทั้งสองของเขานั้นช่างกดดันมาก

“ไม่เป็นไรหรอก!”

ซิงเฉินยิ้มให้ “หม่ามี๊คุณไม่ต้องกลัวไป!ลุงใหญ่ลุงรองไม่ใช่คนเลยร้ายอะไรเลย!”

พูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปทางซิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างคนขับรถ “พี่ชายนายว่าใช่ไหม?”

ซิงหยุนที่มองไกลๆ อยู่ไดด้สติและตอบกลับมา “อื้อ”

“งั้นก็ตกลงกันแบบเต็มใจแบบนี้แล้วนะ ตอนนี้มุ่งหน้าไปที่บ้านหลังเดิมเลย!”

ซิงเฉินยิ้มร่า “โชเฟอร์ ออกรถ!”

……

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถยนต์ก็มาจอดลงตรงประตูคฤหาสน์ของตระกูลฉิน

ซูสือเยว่ลงจากรถ ก็เห็นว่าวิลล่าอันงดงามโอ่อ่าหลังนี้ที่อยู่ตรงหน้า จนในใจเริ่มมีความกดดันขึ้นมาก

“ไปกันเถอะ”

เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นมาข้างหู

เธอตะลึงทันที และหันไปตามเสียงตามสัญชาตญาณ

ที่ยืนห่างจากด้านหน้าของเธอเพียงสองก้าว ฉินโม่หานแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำทั้งชุด

รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แผ่รัศมีความสง่างามและเย็นชาออกมาทั้งตัว

ยิ่งแสงอาทิตย์สาดส่องในเวลากลางวันยิ่งทำให้เข้าช่างน่าหลงใหลและดูน่าเคารพยำเกรงมากขึ้นกว่าเดิม

เขากวักมือข้างหนึ่งเรียกเธอ

เธอกุมมือเขาเอาไว้อย่างประหม่า

เมื่อสัมผัสได้ถึงอาการตัวเกร็งของเธอ ชายหนุ่มกระตุกมุมปากเล็กน้อย “ไม่ต้องตื่นเต้น”

ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากไว้แน่น จะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงเล่า…

ทั้งครอบครัวทั้งหมดสี่คนเดินเข้าไปในบ้านหลังเดิม

ในห้องรับแขกของบ้านหลังเดิม ท่านปู่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนโซฟาอยู่เลย

ทางด้านซ้ายมือที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา มีคู่สามีภรรยาวัยกลางคนนั่งอยู่ เมื่อมองจากอายุแล้วน่าจะเป็นพ่อแม่ของฉินหนานเซิง

เวลานี้เอง ผู้หญิงวัยกลางคนในคู่สามีภรรยานั้นเกิดอาการไม่พอใจจนโกรธเคืองขึ้นมา “ตอนที่ฉินโม่หานแต่งงานนั้นก็ไม่พาภรรยามาให้พวกเราเจอหน้าเลย ราวกับไม่เห็นหัวหงอกหัวดำพี่ชายพี่สะใภ้อย่างพวกเราอยู่ในสายตาเลย”

“ตอนนี้เขามีเรื่องต้องการประกาศให้พวกเรา พวกเราถึงขนาดที่เลื่อนเวลาที่เราจัดการไว้อย่างลงตัวแล้วเพื่อมานั่งรอเขาอยู่ที่นี่อย่างใจจดใจจ่อ!”

“ประมุขตระกูลในอนาคตดีๆ นี่เอง นิสัยใจคอและท่าทางวางตัวใหญ่โตเหลือเกิน!”

“คุณสงบปากสงบคำไปเลย”

ฉินเจี้ยนอานที่อยู่ด้านข้างเธอพลันขมวดคิ้วไว้แน่น “โม่หานไม่ว่าเขาจะทำอะไรตัวเขาเองก็คิดทบทวนไว้อย่างดีแล้ว เขายังดีอยู่ พวกเราเป็นพี่ชาย ปล่อยๆ เขาไปบ้างแล้วจะยังไงเหรอ?”

เฉิงลู่เบะริมฝีปากขึ้น ทำหน้าไม่ยินดีเลย “ทายาทผู้สืบทอดของฉินซื่อกรุ๊ปก็ยกให้เขาแล้ว ยังต้องจะให้อะไรเขาอีกสักเท่าไหร่เหรอ?”

ซูสือเยว่พลันได้ยินเสียงพวกเขากำลังทะเลาะกัน มาแต่ไกล

จิตใจของเธออกสั่นขวัญแขวนอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนว่า….ความสัมพันธ์ระหว่างฉินโม่หานกับคนที่บ้านจะไม่ค่อยดีเท่าที่ควร…

“ลุงใหญ่ ป้าใหญ่!”

ซิงเฉินกลอกตาทันที และตะโกนเสียงดังลั่นและมุ่งหน้าวิ่งไปหาพวกเขาทันที

เสียงเด็กไพเราะเสนาะหูพลันทำลายบรรยากาศคุกรุ่นคับขันในห้องรับแขกทันที

ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของซิงเฉินกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของเฉิงลู่“ซิงเฉินคิดถึงคุณป้าจังเลยครับ!”

เสียงออดอ้อนของเด็กน้อย ทำให้สีหน้าของเฉิงลู่ผ่อนคลายลงทันที

เธอชอบเด็กมาก แม้ว่าจะจงเกลียดจงชังฉินโม่หานขนาดไหน แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถรังเกียจรังงอนกับลูกของฉินโม่หานได้

เธอยิ้มให้และดึงตัวซิงเฉินเข้าสู่อ้อมกอด “คิดถึงป้าจริงๆ เหรอ?”

“จริงแท้แน่นอนครับ!”

ซิงเฉินยิ้มแย้มแจ่มใสพลันเอื้อมมือออกไปลูบคลำใบหน้าของเธอ “คุณลุงคุณป้าเด็กลงอีกแล้วนะ!”

เฉิงลู่ถูกเยินยอเอาใจซะจนความโกรธเคืองคับอกมลายหายไป และก็ลืมไปเสียสนิทเรื่องที่ทะเลาะกับฉินเจี้ยนอานก่อนหน้านี้

“โม่หานมาแล้ว”

ฉินโม่หานลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งยิ้มให้ฉินโม่หานเล็กน้อย

“อืม”

ฉินโม่หานเดินจูงมือซูสือเยว่เดินเข้ามา และแนะนำอย่างเรียบเฉย “พี่ใหญ่ นี่คือภรรยาของผม ซูสือเยว่”

“สือเยว่ นี่คือพี่ชายใหญ่ของผมฉินเจี้ยนอาน”

“นี่คือพี่สะใภ้ใหญ่ของผมเฉิงลู่”

ซูสือเยว่เผยอปาก “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”

ฉินเจี้ยนอานยิ้มให้และพยักหน้าเล็กน้อย “หน้าตาสะสวยมาก อายุเท่าไหร่แล้ว?”

ซูสือเยว่อ้าปากพูดอย่างจริงจัง “23ปีค่ะ”

“อายุเท่ากับหนานเซิงเลย”

เฉิงลู่ประเมินซูสือเยว่ด้วยสายตาระแคะระคายอยู่ครั้งหนึ่ง “ทำงานอะไร?”

“ตอนนี้เป็นนักแสดงค่ะ”

“นักแสดงเหรอ?”

หัวคิ้วของเฉิงลู่ขมวดเข้าหากันอย่างฉับพลัน “ทำอะไรก็ไม่ทัน แต่ดันไปเป็นนักแสดง?”

“ผู้หญิงที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงไม่มีอะไรดีเลย”

พูดจบ เธอก็กลอกตามองซูสือเยว่ครั้งหนึ่ง “เชื่อพี่สะใภ้ใหญ่นะ อย่าทำต่อเลย กลับมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกให้กับโม่หานดีกว่าการอยู่ในวงการบันเทิงเป็นไหนๆ”

“อีกอย่าง การที่โม่หานไปหาภรรยามา ก็ไม่ใช่ว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายของพี่เลี้ยงเด็กในการหาคนมาดูแลเด็กสองคนหรอกเหรอ? แล้วการที่คุณออกไปเสนอหน้าในวงการบันเทิง เขายอมด้วยเหรอ?”

“จ๊าก–!”

คำพูดของเธอเพิ่งจะพูดจบ ก็โดนซิงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอดแต่ทำอะไร “ไม่ทันระวัง” จนทำให้แก้วชาร้อนหกเรี่ยราดออกมา

“ขอโทษครับ คุณป้าใหญ่”

ซิงเฉินทำหน้าตาขอโทษ พร้อมทั้งแสดงสีหน้าเสียใจจนใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจ…”

เฉิงลู่ได้แต่เบะปากอย่างอึดอัดใจ พร้อมทั้งเอาตัวของซิงเฉินวางลงบนโซฟา “เดี๋ยวฉันขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

หลังจากที่เธอเดินจากไปแล้ว ฉินเจี้ยนอานจ้องมองซูสือเยว่อย่างเขินอาย “น้องสะใภ้ อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันเลย พี่สะใภ้ของคุณก็เป็นแบบนี้แหละ พูดจาไม่น่าฟัง แต่ว่าจิตใจไม่ได้ร้ายกาจตามปากที่พูดออกมา”

ซูสือเยว่เม้มริมฝีปาก “ไม่เป็นไร”

“พอแล้ว อย่ายืนอยู่เลย”

ท่านปู่เริ่มพูด “นั่งลงกันทั้งหมดนี่แหละ”

ฉินโม่หานเลยดึงซูสือเยว่ให้มานั่งลงทางด้านขวามือของท่านปู่

“พี่รองล่ะ?”

“ไปสถานีตำรวจตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

ท่านปู่พูดออกมา พลันก้มหน้าก้มตามองเวลา “ใกล้จะกลับมาแล้วแหละ”

เพิ่งพูดจบ ด้านนอกประตูก็มีเสียงรถจอดทันที

ไม่นานนัก ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

“พี่รองมาแล้ว”

ฉินโม่หานกระซิบพูด

ซูสือเยว่รีบลุกขึ้นอย่างรีบร้อน พร้อมทั้งทักทายพี่รองทันที

ยามเมื่อเงยหน้าขึ้น เธอจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงด้านหน้า เป็นเขาไปได้อย่างไร?

ตอนที่ฉินหลิงยี่เห็นซูสือเยว่นั้น ก็ผงะไปเล็กน้อย

เธออยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?

“พี่รอง”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่พูดไม่จาอะไร ฉินโม่หานขมวดคิ้ว “นี่เป็นภรรยาของผม ซูสือเยว่”

ซูสือเยว่ได้สติกลับมา ก็เริ่มเอ่ยปากพูดอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะพี่รอง”

“หวัดดี…”

เมื่อเห็นใบหน้าของซูสือเยว่ ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินหลิงยี่พลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที

เธอดันแต่งงานกับฉินโม่หาน….

นี่หรือว่าเป็นสวรรค์บันดาลลิขิตเอาไว้?

เหมือนว่าฉินโม่หานจะจับสัมผัสอะไรขึ้นมาได้….

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

หลังข่าวลือที่เสียโฉม ท่านชายฉินโหดร้ายอำมหิต ทำคู่หมั้นตายติดต่อกันสองคน ผู้หญิงทั้งเมืองไม่มีใครกล้าแต่งงานด้วย แต่ซูสือเยว่กลับแต่งสาวน้อย ต่อไปให้ฉันปกป้องเธอเองเพิ่งแต่งงาน เธอก็ถูกลูกน้อยน่ารักน่าหยิกสองคนแย่งกันอย่างคลั่งใคล้ซะแล้ว……

Comment

Options

not work with dark mode
Reset