“ตารอง นั่งสิ”
เมื่อเห็นว่าฉินหลิงยี่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ท่านปู่ฉินก็กระแอมออกมา และชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ตรงข้าม “โม่หานบอกว่าวันนี้มีเรื่องสำคัญที่ต้องประกาศให้ทราบ…”
เมื่อพูดจบ ชายชราเหลือบมองนาฬิกาแวบหนึ่ง “ตอนนี้ทำไมบ้านของเรายังขาดหนานเซิงกับเชียนจิ่วก็จะมาครบคนแล้วเนี่ย?”
“เชียนจิ่วเธอไปต่างประเทศแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงท่านปู่ ฉินหลิงยี่ก็ตอบกลับมาตามปกติทันที “พูดว่ามีงานนิทรรศการที่ต่างประเทศ เมื่อคืนตอนดึกก็เปลี่ยนเครื่องและเดินทางไปแล้ว”
แววตาความเอ็นดูเผยให้เห็นออกมาเล็กน้อย “เธอก็เป็นซะแบบนี้มาตลอด ชอบผลุบๆ โผล่ๆ”
เมื่อพูดถึงเย่เชียนจิ่วจบแล้ว ราวกับว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้พลันเงยหน้าขึ้นมามองซูสือเยว่ “คุณเคยเจอกับเชียนจิ่วแล้วใช่ไหม?”
ซูสือเยว่พยักหน้า “ค่ะ”
“เด็กคนนั้นเป็นเหมือนพวกเด็กประสาทนิดๆ ถ้าเธอเผลอหลุดปากหรือว่าทำอะไรที่ดูแล้วผิดปกติไป คุณก็อย่าเก็บไปคิดเลยนะ”
ตอนที่ฉินหลิงยี่พูดคำนี้ออกมา จนน้ำเสียงความเอ็นดูจนปิดไว้ไม่มิด
ซูสือเยว่หรี่ตาลง “พี่รองพูดว่าอย่าให้ฉันเก็บไปคิด หมายความว่าอย่างไรเหรอคะ?”
“ความหมายคือเธอสามารถพูดต่อหน้าฉันได้เรื่องเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างเธอกับสามีของฉันในวัยเด็ก หรือว่าตอนที่ฉันกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น สาปแช่งให้ฉันถูกคนมอมเหล้าจนเกิดเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นนะเหรอ?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้บรรยากาศในห้องรับแขกลดต่ำลงจนไปถึงจุดเยือกแข็งทันที
ฉินเจี้ยนอานพลันเงยหน้าเหลือบตามองท่านปู่ฉิน สายตาของทั้งสองคนพลันปรากฏความสับสนความหมายลึกซึ้งขึ้นมา
ฉินหลิงยี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่นาน เขาก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก “ถ้าสิ่งที่คุณพูดออกมาเป็นสิ่งที่เชียนจิ่วเคยทำไว้ เช่นนั้นผมก็ขอโทษแทนเธอกับคุณด้วยแล้วกัน”
“ผมไม่ได้สั่งสอนเธอให้ดี’
ฉินโม่หานโอบไหล่ของซูสือเยว่อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงเย็นชามาก “เช่นนั้นต่อไปรบกวนพี่รองอบรมสั่งสอนเชียนจิ่วให้ดีด้วย”
“ฉันจะทำ”
ฉินหลิงยี่จ้องมองซูสือเยว่อย่างจริงจัง “เชียนจิ่วยังทำเรื่องอะไรอีกที่ทำให้น้องสะใภ้เกิดไม่ถูกใจ?”
ซูสือเยว่ส่ายหน้าไปมา
เธอกับเย่เชียนจิ่วเจอกันน้อยครั้งมากถึงขั้นสามารถนับนิ้วได้ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นก็ตาม แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นนอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เธอก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นจริงๆ
“เช่นนั้นก็ดี”
ฉินหลิงยี่ยิ้มให้
ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อน เธอคงลืมมันหมดสิ้นแล้วจริงๆ
คนหลายคนนั่งคุยกันอยู่สักพัก ฉินหนานเซิงก็กลับมา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้นอนหลับทั้งคืน จนใบหน้าของเขาก็สื่อความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ฉินเจี้ยนอานจ้องมองใบหน้าเย็นชาของเขา “เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับบ้านมาทั้งคน แล้วทำไมถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้?”
“แกออกไปไหนมา?”
“ผมตัดสินใจได้แล้ว”
ฉินหนานเซิงสูดลมหายใจเข้า พร้อมทั้งยืนอยู่ด้านหน้าคนในครอบครัว น้ำเสียงประกาศออกมาอย่างหนักแน่น “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้”
คำพูดนี้ ก็เหมือนกับสายฟ้าฟาด จนทำให้ระเบิดลงตรงกลางห้องรับแขกทันที
สีหน้าของทุกคนยินดีปรีดามาก
เฉิงลู่เพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นบน เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็พุ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้นทันที และกอดฉินหนานเซิงเอาไว้ “ลูกชายที่แสนดี ในที่สุดแกก็คิดได้แล้ว จะสร้างครอบครัวแล้ว!”
“อีกฝ่ายเป็นลูกเต้าเหล่าใครเทือกเถาเหล่ากอตระกูลไหนกัน? หน้าตาเป็นไง สวยไหม?”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงพามาให้ทุกคนรู้จักล่ะ?”
เมื่อพูดจบ เธอก็เหลือบตามองซูสือเยว่อย่างภาคภูมิใจ “อย่าไปคว้าผู้หญิงที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมานะ!”
คำพูดของเธอ มันทำให้ใบหน้าของฉินหนานเซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พลันพูดเปิดอกกับเฉิงลู่ ทันที “สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ ผมต้องการจะแต่งงานกับลั่วเยียน”
สีหน้าของเฉิงลู่พลันดูไม่ได้ขึ้นมาในวินาทีนั้น!
แม้ว่าเธอไม่เคยสนใจในวงการบันเทิงเลยก็ตาม แต่เธอก็รู้จักลั่วเยียนผู้หญิงคนคนนี้!
ชอบสร้างเรื่อง ชอบไปมีข่าวเสียๆ หายๆ กับคนอื่น แถมยังแสดงละครประเภทแหวกนั่นโชว์นี่อีกตั้งมากมาย!
เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นพร้อมทั้งจ้องมองฉินหนานเซิง “นี่แกบ้าไปแล้วเหรอ?”
ด้วยความที่เป็นแม่ของฉินหนานเซิง เมื่อครู่เธอยังหัวเราะเยาะซูสือเยว่อยู่เลยว่าไปคร่ำหวอดในวงการบันเทิงยังไม่เทียบกับอยู่บ้านเลี้ยงลูกดีกว่า!
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในเวลานี้เขาเกิดตบหน้ามารดาแท้ๆ ของเขาเองอย่างจัง!?
“ผมไม่ได้บ้า”
ฉินหนานเซิงจ้องมองเฉิงลู่อย่างเอาจริงเอาจัง และก็จ้องมองทุกคนในที่นั้นทุกคน “วันนี้ผมเป็นคนให้อาเล็กเรียกทุกคนมารวมตัวกันเองแหละ”
“คือผมอยากบอกกับทุกคนว่า ผมจะแต่งงานกับลั่วเยียน”
ร่างกายสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน น้ำเสียงเย็นยะเยือก เสียงดังกึกก้อง “เมื่อวานนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับลั่วเยียนขึ้น ตอนนี้ตัวเธอก็นั้นสลบยังไม่ฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล”
“หมอบอกว่าวันนี้เธออาจจะตื่นขึ้นมา หรือว่าอาจจะไม่ตื่นทั้งชีวิตเลย”
“ที่เธอเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นเพราะว่าผม ผู้ชายคนที่เธอชอบมากที่สุด ก็คือผมเอง”
“ดังนั้นผมต้องการที่จะขอเธอแต่งงาน ไม่ว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ชีวิตผมนี้ ผมต้องการให้เธอมาเป็นภรรยาของผม”
“ฉันไม่เห็นด้วย!”
เฉิงลู่หน้านิ่งคิ้วขมวดจนเป็นเส้นตรง “ไปขอนักแสดงแต่งงานก็ยังพอทนรับได้นะ แต่นี้ไปขอคนที่หลับใหลไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาอีกแต่งงาน?”
“ฉินหนานเซิง นี่แกอยากจะทำให้ฉันโมโหตายเลยหรือไงกัน!”
ฉินเจี้ยนอานที่อยู่ด้านข้างทำหน้าไม่ถูกใจ “หนานเซิง ถึงแม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะเกิดเรื่องขึ้นที่ด้วยเหตุเพราะว่าแก แกก็ไม่ต้องมุทะลุที่ต้องการขอเธอแต่งเข้าบ้านก็ได้นี่ใช่ไหมล่ะ?”
“พ่อกับแม่หวังให้แกแต่งงาน แต่ก็คาดหวังมากกับการที่แกไปหาคนปกติมาแต่งงานด้วย!”
ฉินหนานเซิงหันไปมองท่านปู่ฉิน “คุณปู่ล่ะ?”
ท่านปู่ก็กระแอมตอบ “ฉัน…ฉันเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็มองมาทางฉินโม่หานตามสัญชาตญาณ “แกก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว?”
ฉินโม่หานพยักหน้า “ผมเห็นด้วยกับเขา”
“แกก็ต้องเห็นด้วยกับเขาอยู่แล้ว!”
อารมณ์ความโกรธของเฉิงลู่ไม่รู้ว่าพลุ่งพล่านมาจากไหน “หลังจากที่พี่ชายรองของแกออกไปเป็นทหารแล้วก็ไม่ยอมรับทายาทสืบทอดกิจการมาตลอด”
“ทรัพย์สินของตระกูลฉินทั้งหมดนอกจากพวกเราแล้ว ก็มีแค่แกเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอด!”
“แกก็ต้องคอยหวังให้หนานเซิงไปแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ ที่จะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกทั้งชีวิต!”
“ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครมาแย่งสมบัติของตระกูลกับบรรดาลูกชายของแกแล้ว ถึงตอนนั้นทุกอย่างของตระกูลก็ตกเป็นของแกแล้ว!”
เฉิงลู่ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ “ฉันย่อมรู้ดี ว่าแกจงใจทำ!”
“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้แผนการอะไรของแกอยู่!”
คำพูดของเฉิงลู่มันดูไม่น่าฟังมากเลย
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น พลางหันหน้าไปมองด้านข้างของตนเอง
ซิงเฉินกับซิงหยุนกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ที่มุมห้อง ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่ทางฝั่งนี้เลย
ส่วนฉินโม่หานนั้น ได้แต่นั่งจิบชาอย่างสบาย ราวกับว่าคำพูดสาดเสียเทเสียที่เฉิงลู่จงใจกระทบกระทั่งคนคนนั้น ไม่ใช่เขา
ไม่นานนัก รอจนเฉิงลู่ไม่พูดอะไรแล้ว ฉินโม่หานถึงได้ยอมวางแก้วชาลง “พี่สะใภ้ใหญ่พูดจบหรือยัง?’
เฉิงลู่กลอกตามองเขา แต่ไม่พูดไม่จา
ฉินโม่หานยิ้มให้เฉิงลู่ตามปกติ “ความหมายของคุณเมื่อครู่คือ คุณกังวลว่าต่อไปทรัพย์สินของทั้งตระกูลจะถูกผมครอบงำไว้เพียงคนเดียว หนานเซิงคงถูกผมและลูกชายของผมทั้งสองคนถูกกดเอาไว้ใช่ไหม?”
เฉิงลู่กลอกตามองเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร
“หนานเซิงเขาเป็นหลานชายของผม”
ฉินโม่หานยกมือขึ้น พร้อมทั้งจัดการรินน้ำชาให้ตนเองอย่างสง่างาม “เขาแต่งงานผมก็ไม่มีอะไรจะให้เขา เอางี้ ผมจะยกหุ้นของฉินซื่อกรุ๊ปในส่วนของผม ให้กับเขา 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นไง?”
แค่คำพูดประโยคเดียว ทำให้ทั้งห้องรับแขกเงียบงันทันที
ฉินหลิงยี่พลันยิ้มให้อย่างปกติ “โม่หาน หุ้นตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ ของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้มันมากเกินไปไหม?”
ต้องรู้ว่า ฉินซื่อกรุ๊ป เป็นถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านหยวน
หุ้น10เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับว่าเอาเงินใส่พานให้ฉินหนานเซิงเป็นหมื่นล้านฟรีๆ เลย
อีกทั้งเรื่องหุ้นพวกนี้ ยังไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินทางตามธรรมดาขนาดนี้
ฉินโม่หานนำหุ้นส่วนของตนเองออกมาตั้งมากมายขนาดนี้ ความจริงแล้วก็เท่ากับเอาอำนาจของฉินซื่อกรุ๊ปให้ฉินหนานเซิงตั้งมากมาย
แม้ว่าฉินหลิงยี่ไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจมาก่อน แต่หลักการพวกนี้เขายังเข้าใจอยู่
ฉินโม่หานยิ้มให้แล้ว “การตัดสินใจของหนานเซิงในครั้งนี้ มันยิ่งทำให้ผมเห็นความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว”
“ก็ใช่”
ฉินหลิงยี่ยักไหล่ “ความสัมพันธ์อากับหลานของแกสองคนดีต่อกันมาโดยตลอด สิ่งที่แกยอมให้ตั้งมากมายขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
พูดไป เขาก็เหล่ตาไปมองเฉิงลู่ที่ยังคงมึนงงอยู่ “ก็แค่ พี่สะใภ้ไม่ค่อยอยากจะได้”
“หุ้นตั้ง10เปอร์เซ็นต์เต็ม จะให้พี่สะใภ้มายอมรับลูกสะใภ้ที่นอนหลับใหลไม่ยอมตื่นได้ยังไงกัน?”