ภาพในมือ ทำให้มือของซูสือเยว่สั่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
ภาพที่อยู่บนสุด เป็นบันทึกการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชของเธอเมื่อห้าปีก่อน
ด้านบนเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เธอเป็นโรคทางจิต เป็นโรคหลงผิดและโรคทางอารมณ์
ระยะเวลาการรักษายาวนานถึงครึ่งปี
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากแน่น และก็ได้เปิดอ่านต่อ
ภาพตอนท้าย หลายภาพก็เป็นภาพที่เธอเพิ่งเห็นมาเป็นครั้งแรก
แต่ละภาพ มันเพียงพอที่จะทำให้เธอแตกสลายขึ้นมาได้เลย
เพราะว่าภาพเหล่านั้น…เป็นสภาพที่เธอกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล!
เธออยู่ในชุดผู้ป่วย สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง
สภาพที่เธอถูกเทปมัดเข้ากับเตียงนอนผู้ป่วยและก็ถูกพยาบาลฉีดยาให้
สภาพที่เธอกัดบุคลากรทางการแพทย์ไปอย่างเสียสติ
……
เธอในแต่ละภาพล้วนแล้วแต่จะประดับไปด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง ในทุกๆรูปจะไม่เหมือนกับคนปกติเลย!
แต่ซูสือเยว่ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้อีกว่าคนที่อยู่ในรูปเหล่านี้ก็คือเธอ
เพราะว่ามันก็เป็นเธอจริงๆนั่นแหละ
ใบหน้าของเธอเอง เธอเห็นมาตั้งหลายปี ไม่มีทางจะจำผิดไปได้เลย
อีกทั้ง…
ครึ่งปีนั้นที่เธอได้สูญเสียความทรงจำไป ที่จริงแล้วก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช
สิ่งพวกนี้เจี่ยนเฉิงก็เคยบอกเธอมาแล้ว
เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าที่แท้ก็ยังมีคนที่ได้ถ่ายภาพพวกนี้เมื่อตอนที่เธอรักษาตัวอยู่…
เห็นใบหน้าซูสือเยว่ซีดเผือดไป ซูจิ่นเฉิงก็ได้ยิ้มออกมาจางๆ
เขามองหน้าซูสือเยว่ไปอย่างพิจารณาถี่ถ้วน “สือเยว่ พ่อได้ช่วยแกอย่างสุดความสามารถแล้ว”
“แกไปถอนคำให้การของแก ไปถอนฟ้องแล้วปล่อยโม่โม่ไป ฉันก็ไม่มีทางจะเผยแพร่ภาพพวกนี้ออกไป”
“ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ แกก็รู้ ว่าถ้าฉันบอกถึงอาการป่วยของแกให้กับทางตำรวจออกไป…
“คำให้การของผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง มันจะเอามาใช้เป็นคำให้การไม่ได้หรอก”
เสียงของเขาเย็นชาเสียไร้อารมณ์เป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าคนที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ลูกเลี้ยงที่เขาเลี้ยงดูมายี่สิบกว่าปี แต่เป็นคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน
ซูสือเยว่รู้สึกได้ถึงความผิดหวัง
เธอเพิ่งจะเดินออกมาจากเงามืดในอดีต ซูจิ่นเฉิงก็ได้ตีแสกหน้าเธอมาทันที
ไม้นี้ มันได้ปะทะเข้ามาบนจุดเจ็บของเธอเข้ามาอย่างจังและอย่างแรง
เธออยากเป็นนักแสดง
ภาพที่เธอเคยท้องเผยแพร่ออกไป มากสุดก็จะถูกคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตส่วนตัวของเธอ
แต่ว่าถ้าภาพที่เธอเคยป่วยเป็นโรคทางจิตได้เผยแพร่ออกไป ผลกระทบนั้น มันจะส่งผลต่องานในอนาคตของเธอไปชั่วชีวิต
ถูกคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง มันร้ายแรงกว่าการถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเคยเกิดลูกมาก่อนเป็นพันเท่าหมื่นเท่า
ซูสือเยว่ไม่รู้ทำไมซูจิ่นเฉิงถึงอยากจะกำจัดเธอให้สิ้นซากเสียขนาดนี้
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา มองใบหน้าที่เย็นชานั้นของซูจิ่นเฉิง “ในมือของคุณสรุปแล้วยังมีของที่เกี่ยวกับฉันอยู่มากแค่ไหนกันแน่”
“ก็มากเท่านี้แหละ”
ซูจิ่นเฉิงยกยิ้มออกมาจางๆ “แต่มันก็เพียงพอที่จะจัดการกับแก”
“ให้เวลาแกสามวัน ไปถอนคำให้การของแกซะ”
“ไม่อย่างนั้น ก็รอให้ภาพพวกนี้ถูกทุกคนได้เห็นกันไปเสียเถอะ!”
พูดจบ เขาก็ลุกยืนขึ้นเตรียมที่จะเดินออกไป
ทันทีที่ได้เดินออกไปก้าวหนึ่ง จู่ๆชายคนนั้นก็ได้หันหน้ากลับมาเหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ เพื่อนของแกคนนั้นเป็นดาราดังใช่มั้ยล่ะ?”
“แกคิดว่าถ้ามีใครไม่ระวังเผยแพร่เรื่องที่หล่อนได้เจอเมื่อคืนวานออกไป…”
“แกว่าแฟนคลับของหล่อนจะยังชอบหล่อนอยู่อีกมั้ย?”
“แล้วยังจะเชื่อใจหล่อนว่าหล่อนยังบริสุทธิ์อยู่อีกมั้ย?”
เสียงของเขาเยือกเย็นออกมา “ความสามารถในการจินตนาการมันไม่มีที่สิ้นสุด ให้พวกเขาสมมติฐานกัน พวกเขาก็จะนึกโยงกันออกมาไม่จำกัด”
“แกลองเดาดูสิ ถึงตอนนั้นเอง จะเป็นแกที่จะถูกคนอื่นเขามาคาดเดากันไปมากขึ้นกว่าเดิม หรือว่าจะเป็นหล่อนกัน?”
“คุณกล้า!”
ซูสือเยว่กัดฟันแน่นจ้องมองด้านหลังเขาไป “ซูจิ่นเฉิง ถ้าคุณกล้าพูดเรื่องลั่วเยียนออกไป ฉันรับรองว่าซูโม่จะต้องอยู่ในคุกไปชั่วชีวิตไม่มีวันได้ออกมาแน่!”
“ก็เอาสิ”
ซูจิ่นเฉิงเดินออกไปข้างนอกต่อไปไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “ใช้อนาคตของแกกับลั่วเยียนสองคน แลกกับอนาคตของโม่โม่ ฉันคิดว่ามันคุ้มค่า”
“ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าคุก คงจะดีกว่าสถานการณ์ของพวกแกทั้งสองคนเยอะเลย”
เห็นเงาร่างด้านหลังของเขาได้หายไปจากระยะสายตา ซูสือเยว่ก็กำหมัดแน่น
กลับไปชั้นบน เธอนอนมองเพดานอยู่บนเตียง คิดๆไปแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่ามันผิดปกติไปเสียหมด
เมื่อคืนวานตอนที่ซูจิ่นเฉิงได้เอาหยกชิ้นนั้นมาขู่เธอ ทั้งๆที่ก็ได้จนตรอกเสียขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
ถ้าไม่เพราะว่าคิดหาวิธีอื่นไม่ได้แล้ว เขาไม่มีทางโทรหาเธอหรอก
แต่ทำไมยังไม่ทันจะถึง24ชั่วโมง ซูจิ่นเฉิงก็ได้เอารูปออกมาอีก?
ถ้าเขามีภาพพวกนี้มาก่อนแล้ว เขาก็ควรจะเอาภาพมาขู่เธอตั้งนานแล้ว
หญิงสาวจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจเลย
……
บ้านซู
“เป็นยังไงบ้าง?”
ทันทีที่ซูจิ่นเฉิงเข้าประตูมา เฉินฟางก็ได้เข้ามาหาทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“พอประมาณแล้วล่ะ”
ซูจิ่นเฉิงยิ้มเย็นออกมา “ภาพพวกนั้นมันมีประโยชน์กว่าหยกเยอะเลย”
“อย่างน้อยฉันว่าซูสือเยว่จะต้องร้อนรนแล้วจริงๆ”
“นี่ก็จะต้องขอบคุณคุณเย่แล้ว”
เฉินฟางทอดถอนหายใจออกมา “ถ้าไม่มีภาพพวกนั้นที่ที่คุณเย่ส่งมาให้พวกเรา ตอนนี้พวกเราก็คงไม่มีอะไรไปจัดการกับซูสือเยว่ได้เลย!”
ซูจิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ถ้าไม่มีคุณเย่พวกเราก็ไม่รู้กันเลยว่าแท้ที่จริงแล้วที่ซูสือเยว่ได้หายสาบสูญไปครึ่งปีเมื่อห้าปีก่อนนั้น…ก็คือไปอยู่ที่โรงพยาบาลบ้ามา”
เฉินฟางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยออกมา
“แต่ จากสภาพของซูสือเยว่แล้วดูไปแล้วมันไม่เหมือนกับคนที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตได้เลย”
ซูจิ่นเฉิงมองเธอไปอย่างมีลับลมปมใน
“แน่นอนว่าตอนนั้นมันไม่ได้เป็นโรคทางจิตหรอก เธอเคยเห็นคนที่ป่วยทางจิตคนไหนใช้เวลาครึ่งปีรักษาตัวได้สำเร็จกัน อีกทั้งมันก็ไม่มีอาการกำเริบขึ้นมาอีก?”
“ขนาดเฉิงเซวียนที่คบกับมันมาห้าปีกว่าได้เลิกกับมันไป มันก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งออกมา เธอคิดว่ามันจะเป็นบ้าจริงๆ?”
เฉินฟางอ้าปากค้างออกมาอย่างตื่นตกใจ
“แต่ในภาพพวกนั้นมีหลายภาพที่คุณหมอได้ฉีดยาให้กับซูสือเยว่นะ”
ซูจิ่นเฉิงมองเธอไปอย่างเหยียดๆ “เธอรู้มั้ยว่ายาที่หมอพวกนั้นมันฉีดให้กับมันเป็นยารักษา หรือว่ายาที่ทำอันตรายต่อมันกันแน่?”
เฉินฟางพูดไม่ออกไปโดยสมบูรณ์
ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เธอถึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบาด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจว่า “ไม่หรอกมั้ง…”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน?”
ซูจิ่นเฉิงถลึงตาจ้องมองเธอ “เธอคิดว่าคนพวกนั้นจะเป็นคนดีอะไรหรือไง?”
“ซูสือเยว่ไม่ใช่ว่าสูญเสียความทรงจำเมื่อครึ่งปีนั้นไปหรือไง? มันก็คงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
พูดจบ เขาก็ผันร่างเดินขึ้นบ้านไป แล้วโทรไปขอบคุณเย่เชียนจิ่ว
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”
ทางปลายสาย เย่เชียนจิ่วกำลังสวมชุดบิกีนี่นอนอยู่บนชายหาด อาบแดดไปพลาง ยิ้มออกมาจางๆไปพลาง “คุณอาซูคุณอาไม่ต้องเกรงใจกันหรอก”
“ฉันกับซูโม่เป็นเพื่อนสนิทกัน การช่วยเธอมันเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
“อืม ลาก่อน”
วางสายไป เย่เชียนจิ่วก็ได้เลิกสายตาขึ้นมองทะเลที่อยู่ไกลออกไปอย่างอารมณ์ดี
อันที่จริงซูสือเยว่ไม่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตมาก่อนเลย
ภาพพวกนั้นของเธอ ทั้งหมดมันเป็นสภาพที่เธออยากจะตามหาลูกของเธออย่างบ้าคลั่งไปเท่านั้นเอง
ตอนแรกเริ่มนั้นเย่เชียนจิ่วเพียงแค่อยากให้เธอลืมเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลฉินทั้งหมดไปเท่านั้น
แต่การดำเนินการลบความทรงจำของเธอไปอย่างต่อเนื่องของหมอพวกนั้น สำหรับซูสือเยว่แล้วมันได้เสียเปล่า
ภายในใจของเธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับพวกลูกๆของเธอ เกินความคาดหมายของทุกคนไป
ดังนั้นแล้วเย่เชียนจิ่วทำได้เพียงขังเธอเอาไว้ในโรงพยาบาลบ้าไปเท่านั้น พร้อมทั้งปฏิบัติ กดขี่เหมือนดั่งผู้ป่วยทางประสาทจริงๆ
จวบจนกระทั่งการต่อสู้ดิ้นรนที่ได้แสดงออกมาได้ถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์แล้ว รอจนเธอได้ยอมแพ้กับความคิดที่หมกมุ่นอยู่กับพวกลูกๆไปได้โดยสมบูรณ์ แล้วค่อยลบความทรงจำเธอไปอีกที
ใช้เวลาครึ่งปีกว่าๆ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ปลอมแปลงความทรงจำของซูสือเยว่ไปได้อย่างสำเร็จ
ในปัจจุบัน ทุกคนรู้กันเพียงแค่ว่าซูสือเยว่เคยเป็นบ้ามาเพียงเท่านั้น
แต่ความจริงนั้นเป็นยังไง…
ไม่มีใครแคร์หรอก