โรงพยาบาลใจกลางเมืองหรง
ซูสือเยว่นั่งลงบนเก้าอี้ มองผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยความตื่นเต้น
“สือเยว่ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”
ไป๋ยู่หนานนั่งยิ้มอยู่ระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ “คุณทำตัวสบายๆหน่อย”
“ท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาที่มีอำนาจมากที่สุด”
“ท่านนี้เป็นท่านที่ให้เกียรติบินมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันจิตรเวชที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศ เคยได้รับรางวัลใหญ่ระดับโลกมาด้วย”
“ท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานทางด้านจิตเวชมาสี่สิบกว่าปี ผู้ป่วยทั่วไป แค่มองเขาก็รู้เลยว่าอาการเป็นอย่างไร”
“ท่านนี้ ท่านนี้นั้นสุดยอดยิ่งกว่า ท่านนี้ก็คือหมอหานหยุนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัยทางจิตเวชที่ยังเด็กที่สุดในเมืองหรง เพิ่งจะสามสิบปีเอง”
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาเพิ่งจะได้รับการเชิญไปเข้าทำงานที่ใหญ่หลายแห่งทั่วโลก”
พูดจบ ไป๋ยู่หนานยังมองใบหน้าของซูสือเยว่ไปอย่างเอาใจใส่กันเป็นอย่างมาก “คุณดูสิ ผู้เชี่ยวชาญมากมายกำลังตรวจดูอาการให้คุณอยู่ คุณจะต้องผ่อนคลาย!”
ซูสือเยว่ “…”
เธอกวาดสายตามองคุณหมอผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านที่อยู่ตรงหน้าไปเงียบๆ
ไป๋ยู่หนานไม่แนะนำสถานะของพวกเขาก็ดีอยู่หรอก พอเขาแนะนำมา…เธอก็ยิ่งกังวลขึ้นกว่าเดิม
หญิงสาวเม้มริมฝีปากออกมา น้ำเสียงที่เป็นกังวลก็ได้เริ่มสั่นออกไปมา “ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายสวัสดีค่ะ”
“สวัสดี”
ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสที่เป็นผู้นำดันแว่นเล็กน้อย “พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”
ซูสือเยว่ผ่อนลมหายใจออกมา “ค่ะ”
แต่เดิมเธอนึกว่าการตรวจอาการในครั้งนี้เหล่าผู้เชี่ยวชาญจะถามคำถามที่ดุเดือดเธอมาหลายคำถาม
แต่ว่าท่าทีของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนโยนอย่างมาก
พวกเขาจะถามรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเธอ ถามเธอเกี่ยวกับสังคม ครอบครัว ความรัก ความรักระหว่างคนในครอบครัว และความคิดกับแผนการในเรื่องของงาน
ตอนที่เริ่มซูสือเยว่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่เธอก็ได้ผ่อนคลายขึ้นมาทีละนิดๆ และได้พูดคุยกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายไปอย่างเพลิดเพลินอย่างมาก
สุดท้าย คุณหมอหนุ่มที่ชื่อว่าหานหยุนคนนั้นมองหน้าของซูสือเยว่ ถามคำถามที่รุนแรงมากกับเธอมาคำถามนึง
“เรื่องที่คุณรู้สึกเสียใจภายหลังมากที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องเมื่อห้าปีก่อนที่ได้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำเพื่อผู้ชายคนหนึ่งไป ใช่มั้ยครับ?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก พร้อมกับพยักหน้าออกมา
“แล้วเรื่องที่ไม่ควรทำเรื่องนี้ สามารถลองพูดออกมาให้ละเอียดหน่อยได้มั้ยครับ?”
“ตกลงแล้วตรงไหนที่ทำให้คุณคิดว่าไม่ควรทำ จุดที่คุณรู้สึกเสียใจที่ได้ทำมันลงไปมันอยู่ตรงส่วนไหน เรื่องนี้มีผลกระทบต่อคุณในตอนนี้มากหรือเปล่า?”
ซูสือเยว่เลิกสายตาขึ้น สบตาเข้ากับหานหยุน “หมอหานหยุนจะต้องพูดเหรอคะ?”
“พวกเราเป็นหมอ”
หานหยุนยักไหล่ออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “กับหมอนั้นไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังกัน”
ซูสือเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ มองไป๋ยู่หนานที่อยู่ข้างๆไปแวบนึง
เธอลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะเอ่ยออกไปเงียบๆ
“ฉันไปคลอดลูกให้คนอื่น”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ผู้ชายทั้งสี่คนในที่แห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาทันที
ไม่ต้องพูดถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม แม้แต่ไป๋ยู่หนานที่อยู่ข้างๆ บนใบหน้าก็ได้เต็มไปด้วยความตกตะลึงออกมาเช่นเดียวกัน
มือทั้งสองข้างของซูสือเยว่กัดหมัดแน่นอยู่ข้างๆลำตัว
เธอเลิกสายตาขึ้นมองพวกเขา “ยังต้องการให้ฉันพูดต่ออีกหรือเปล่าคะ?”
หานหยุนมองผู้ชายทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆไปแวบนึง จากนั้นก็หรี่ตาออกมา “คุณเกลียดตัวเองในตอนนั้นหรือเปล่าครับ?”
“ถ้าให้โอกาสให้คุณได้เลือกอีกครั้ง คุณจะเปลี่ยนสิ่งที่เลือกหรือเปล่า?”
ซูสือเยว่ส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย
“ฉันไม่เกลียด และก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนตัวเลือก”
“เพราะว่าตอนนั้นฉันรักเฉิงเซวียน ฉันสามารถทำอะไรเพื่อเขาได้ทุกอย่าง”
“ฉันในตอนนั้นยังเด็ก โง่เขลา ตาบอด”
“ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ทำเพื่อเฉิงเซวียนแล้ว ไม่ว่าดี หรือเลว ฉันก็จะช่วยเขาอย่างสุดกำลังของฉัน”
“สิ่งที่รู้สึกเสียใจขึ้นมาในตอนนี้มีเพียงแค่เกลียดตัวเองในตอนนั้นที่โง่เกินไป”
“ถ้าย้อนกลับไปอีกครั้ง ฉันคงจะยังคงโง่อย่างนั้นอยู่ดี”
“นี่คือประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน เสียใจก็เสียใจอยู่ แต่มันก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนไปได้”
คำพูดของหญิงสาวได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนในที่แห่งนั้นตกอยู่ในความเงียบกันไปทันที
ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้นำในครั้งนี้ก็ได้ดันแว่นที่อยู่บนสันจมูกไปเล็กน้อย “ซูสือเยว่ คุณมีชีวิตอยู่อย่างเข้าใจหลักการความเป็นจริงได้โดยธรรมชาติเลย”
ไป๋ยู่หนานลุกขึ้นมาทันที “งั้นคุณว่าสภาพจิตใจของซูสือเยว่ มันใช่…”
“สภาพจิตใจของเธอดีมาก”
หานหยุนหรี่ตามองหน้าของซูสือเยว่ “เธอไม่เพียงจะไม่มีปัญหาในตอนนี้ เมื่อก่อนหน้านี้ก็คงจะไม่มีปัญหาด้วยเหมือนกัน”
ไป๋ยู่หนานนิ่งอึ้งไป “หมายความว่าอะไร?”
หานหยุนก้มหน้าลงจัดเรียงข้อมูล เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าเอาบันทึกการออกจากโรงพยาบาลกับการเข้ารักษาตัวเมื่อตอนนั้นของเธอมาวิเคราะห์ดูแล้ว ตอนที่จิตใจของเธอเกิดปัญหา มันเป็นช่วงหลังจากที่เธอเกิดลูกพอดี”
“เรื่องนี้มันก็ประจวบเหมาะเข้ากับช่วงที่เธอได้สูญเสียความทรงจำไปด้วย”
ไป๋ยู่หนานเม้มริมฝีปากออกมา “แต่ว่า…”
“ต้องรู้ว่า จิตใจของคนคนหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นมานั้นจะต้องมีปัจจัยนำพาที่ชัดเจนมาสักอย่างนึง”
“ตอนนี้ดูเหมือนว่า เมื่อห้าปีก่อนตอนที่ซูสือเยว่เพิ่งจะป่วย ไม่เพียงแต่จะไม่มีจุดที่จิตใจแตกสลาย แต่ยังเต็มไปด้วยความหวังต่ออนาคตอีกด้วย”
“เธอรู้ว่าลูกของเธอไม่ได้เป็นของเธอ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจจะปล่อยลูกไปแต่เธอก็เฝ้าคอยว่าลูกจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องการเผชิญหน้ากับเธอได้มากกว่า”
“เธอเฝ้าหวังว่าจะสามารถทำอะไรเพื่อลูกของเธอได้บ้าง เฝ้าหวังว่าจะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าได้”
“ผมไม่เจอจุดที่เธอจะเสียการควบคุมทางอารมณ์จนถึงกับเสียสติอะไรเลย”
พูดจบ หานหยุนเลิกสายตาขึ้นมามองผู้เชี่ยวชาญอีกสองท่าน “ทั้งสองท่านคิดว่ายังไงครับ?”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านเองก็ส่ายหน้ากันออกมาตามๆกัน “ถึงแม้ว่าปัจจัยของผู้ป่วยจะมีเยอะมาก”
“แต่คนมองโลกในแง่ดีอย่างคุณซู ตามหลักแล้ว ถ้าไม่เจอกับการโจมตีที่รุนแรงและความรู้สึกแตกสลายแล้ว จะไม่มีทางป่วยได้เลย”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอก็มีท่าทางที่สงบและร่าเริง และก็ไม่เจอเงามืดที่เคยทำให้ป่วยด้วยเหมือนกัน”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนให้ผลลัพธ์ออกมา ทำให้ไป๋ยู่หนานขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
เขาเคยคิดว่าสภาพจิตใจของซูสือเยว่ในตอนนี้คงจะไม่มีปัญหาแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้เชี่ยวชาญจะปฏิเสธเรื่องการป่วยเมื่อห้าปีก่อนของซูสือเยว่มาทั้งหมด
แต่ว่า ถ้าเมื่อห้าปีก่อนซูสือเยว่ไม่ได้ป่วยจริงๆ แล้วรูปกับบันทึกการตรวจอาการพวกนั้นมันเรื่องอะไรกัน?
“มันสามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้”
หานหยุนอธิบายข้อสงสัยของเขาออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ “ภาพเหล่านั้นที่คุณเห็นเป็นสภาพที่เธอเสียสติออกมา”
“แต่ อาศัยเพียงแค่สภาพที่เธอดิ้นรน ร้องไห้ตะโกนออกมา มันสามารถยืนยันว่าเธอเสียสติได้จริงๆงั้นเหรอ?”
“ถ้าเธอร้องไห้โวยวายออกมาเพียงเพราะว่าไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลบ้าล่ะ?”
“ถ้าเธอเพียงแค่ไม่อยากให้มีใครมาแตะต้องเธอเพราะว่าไม่พอใจล่ะ?”
“ทั้งหมดมันก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น”
หานหยุนเอาหนังสือการวินิจฉัยส่งไปให้ไป๋ยู่หนาน หันไปหยิบนามบัตรใบหนึ่งจากในกระเป๋าส่งไปให้กับไป๋ยู่หนาน แล้วก็ได้เอาออกมาอีกใบยื่นไปให้กับซูสือเยว่ “ถ้าพวกคุณสืบเรื่องเมื่อห้าปีก่อนต่อไป แล้วต้องการความช่วยเหลือก็บอกมาได้เลย”
“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่เมืองหรงมีคนแบบไหนที่สามารถขังคนปกติอยู่ในโรงพยาบาลบ้าอย่างใจกล้าและไม่เกรงกลัวอะไรได้อย่างนี้”
พูดจบ เขาก็ผันร่างเดินออกไป
ซูสือเยว่มองจ้องนามบัตรไปอย่างเหม่อลอย
ไป๋ยู่หนานย่นคิ้วออกมา “สือเยว่…”
“สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ดี”
ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆได้ทอดถอนหายใจออกมานิ่งๆ “ตอนพวกเรายังหนุ่มๆก็เกลียดเรื่องไม่ดีเหมือนกับเกลียดศัตรูเลยเหมือนกัน”
“ตอนนี้แก่แล้ว จัดการไม่ไหวแล้ว”
“แน่นอนว่าผลการวินิจฉัยของพวกเราเองก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปเหมือนกัน บางทีตอนนั้นคุณอาจจะเสียสติขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน”
“แต่”
ชายชรามองซูสือเยว่ “ผมคิดว่าคุณควรจะตรวจสอบให้ดีๆสักหน่อย หาหมอและพยาบาลที่รักษาให้คุณเมื่อตอนนั้นแล้วถามหาความจริงให้ชัดเจน”
“เพราะถึงยังไงประวัติการป่วยของโรคทางจิตจำพวกนี้ ต่อจากนี้มันจะตามคุณไปตลอดชีวิต มันมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นได้มากมาย”
ผู้เชี่ยวชาญอีกคนก็ได้ถอนหายใจออกมา “แต่ผมคิดว่าทั้งเสียสติและทั้งเสียความทรงจำไป นี่มันน่าสนใจมากเลย บางทีอาจจะมีใครอยากปกปิดอะไรเอาไว้”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากออกมา มองชายชราทั้งสองคน หัวใจก็สั่นออกมาเล็กน้อย “แต่…ฉันไม่มีความลับอะไรที่จะต้องถูกใครมาทำอย่างนั้น…”
ถ้าจะมี นั่นก็เป็นลูกที่เธออุ้มท้องเมื่อตอนนั้น