ซูสือเยว่เดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เธอเปิดประตูขึ้นรถ
ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งเบาะหลังกำลังทำการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
เห็นเธอเข้ามา เขาก็ยุติการประชุมไปทันที “ไป๋ยู่หนานได้บอกผมมาเรียบร้อยแล้ว”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองซูสือเยว่ “ในเมื่อมีการวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวซูจิ่นเฉิงจะพูดเรื่องที่คุณเคยเข้าโรงพยาบาลออกไป”
“แต่ถ้าภาพพวกนั้นหลุดออกไปล่ะก็ มันก็จะไม่ค่อยจะดีกับคุณเท่าไหร่นัก”
เขามองหน้าเธอมาอย่างจริงจัง “ผมเพิ่งจะคิดอย่างชัดเจนขึ้นมาได้”
“ถ้าคุณไม่อยากให้รูปพวกนั้นหลุดออกไปล่ะก็ ตอนนี้พวกเราก็ไปถอนฟ้อง ถอนคำให้การที่สถานีตำรวจ”
“เพราะถึงยังไงซูโม่ศัตรูคนนี้ ผมจำไว้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ให้หล่อนไปอยู่ในตะราง ผมก็มีวิธีอื่นที่จะลงโทษหล่อน”
คงเป็นเพราะว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องพวกนี้ ซูสือเยว่เลิกสายตาขึ้นไป “คุณ…”
“ตอนที่คุณกำลังทดสอบอยู่เมื่อกี้นี้ ผมได้คุยกับฉินหนานเซิงมาบ้างแล้ว”
“เขาเปิดบริษัทผู้จัดการ ทางด้านวงการบันเทิงเขาชำนาญกว่าผมมาก”
ชายหนุ่มได้ดึงซูสือเยว่เข้ามาสู่ในอ้อมแขน ทอดถอนหายใจออกมา “ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบให้คุณทำงานนี้ แต่ในเมื่อเป็นการเลือกของคุณ ผมก็จะสนับสนุนคุณอย่างแน่นอน”
“หนานเซิงบอกว่า ไม่ว่าจะยังไง ภาพเหล่านี้ถ้าได้แพร่กระจายออกไป มันจะต้องก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อตัวคุณได้”
“ดังนั้นแล้ว ผมคิดว่า เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานและภาพลักษณ์ของคุณในอนาคต เรื่องนี้พวกเราสามารถประนีประนอมได้”
พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นมายันขากรรไกรล่างของซูสือเยว่เอาไว้ ดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้นจ้องมองเธอนิ่ง “คุณต้องเชื่อมั่นว่า ถ้าอยากจัดการซูโม่ไปอย่างลับๆ สามีของคุณนั้นสามารถทำได้สบายๆอยู่แล้ว”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากออกมา
ดังนั้นแล้ว
ถ้าสุดท้ายแล้วต้องถอนฟ้อง ถอนคำให้การไปล่ะก็ อย่างนั้นแล้วการตรวจวินิจฉัยโรคทางจิตนี้ที่เธอได้ทำมาวันนี้มันไม่มีประโยชน์เลยงั้นเหรอ?
ไม่ได้
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ เลิกสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของฉินโม่หาน “แต่ฉันไม่อยากถอนฟ้อง”
คนตระกูลซูเป็นพวกได้คืบจะเอาศอกกันมากแค่ไหน ซูสือเยว่รู้ชัดดี
เธอยอมไปครั้งนี้ อย่างนั้นแล้วครั้งหน้า ซูจิ่นเฉิงก็จะยังคงใช้ของพวกนี้มาขู่เธอ เรียกร้องจากเธออีก
มีครั้งที่หนึ่ง มันก็จะมีครั้งที่สอง
เธอไม่มีทางอยู่ในกำมือของซูจิ่นเฉิงไปทั้งชีวิตหรอก
เหมือนกับเรื่องที่เธอแต่งงานกับฉินโม่หาน ตอนนั้นทำไมเธอถึงต้องให้ซูจิ่นเฉิงเขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่งงานให้กับฉินโม่หานเพื่อมาตอบแทนบุญคุณที่ได้เลี้ยงดูมา ก็เพราะว่าเธอรู้จักนิสัยของซูจิ่นเฉิงดี
“ได้”
ฉินโม่หานผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ “งั้นก็ไม่ยกเลิก”
พูดจบ เขาก็มองตาเธอ “งั้นคุณได้เตรียมใจที่ภาพจะแพร่ออกไปเอาไว้พร้อมแล้ว ใช่มั้ยหืม?”
ซูสือเยว่เงียบอยู่นาน
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมา ในนัยน์ตาใสคู่นั้นเต็มไปด้วยความจริงจังและความดื้อรั้น “ฉันจะไม่เสียใจ”
“เด็กโง่”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ดึงเธอเข้ามาสู่ในอ้อมกอด
รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิบนร่างของชายหนุ่ม ซูสือเยว่ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่อู้อี้ว่า “ขอโทษนะคะ”
ฉินโม่หานย่นคิ้วออกมา “ขอโทษ?”
“ค่ะ”
หญิงสาวทอดถอนหายใจออกมา “ตอนที่แต่งงานกับคุณ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉันจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้คุณมากมายอย่างนี้…”
เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตั้งแต่เรื่องของเฉิงเซวียนเซี่ยงหวั่นฉิง จนถึงเรื่องของซูโม่กับซูจิ่นเฉิงในตอนนี้ แต่ละเรื่อง ล้วนแล้วแต่จะเป็นเธอที่คอยก่อความวุ่นวายให้กับเขาทั้งนั้น
ทั้งๆที่ตอนแรกเริ่ม เขาแต่งเธอเข้าบ้านก็เป็นเพราะว่าอยากให้เธอคอยดูแลซิงหยุนกับซิงเฉินให้ดี
แต่ผลสุดท้ายตอนนี้ได้กลายเป็นว่าพวกเขาสามคนพ่อลูกมาดูแลเธอตัวปัญหาคนนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดออกมา…
แต่เธอไม่อาจมองการทุ่มเทและความใส่ใจเป็นเรื่องปกติทั่วไปได้
“เห็นผมเป็นอะไร?”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มผสมเข้ากับท่าทีขบขันเล็กน้อยที่แผ่ออกมาจากด้านบน
ฉินโม่หานยกมือขึ้นมาหยิกแก้มขาวนุ่มของเธอไปเบาๆ “คนครอบครัวเดียวกันยังต้องพูดขอโทษอะไรกันอีก พูดอะไรวุ่นวายน่ะ?”
“อย่างนั้นแล้วต่อจากนี้ไปคุณมีลูกสาวให้ผม ช่วยผมดูแลลูกสาว ผมเองก็ต้องบอกขอโทษ ขอบคุณ บอกว่าลูกของผมรบกวนคุณด้วยใช่มั้ย?”
ซูสือเยว่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้าออกมาอย่างแรง “แน่นอนว่าไม่ต้องอยู่แล้ว”
“เพราะว่าลูกสาวเป็นลูกของพวกเราทั้งสองคน”
แต่เรื่องวุ่นวายพวกนี้ เป็นแค่เรื่องของเธอเอง
“คุณก็เป็นของผมด้วยเหมือนกัน”
ฉินโม่หานเชิดตรงขากรรไกรล่างของเธอขึ้นมาอย่างจนใจ แล้วก็ได้จิกลงไปบนริมฝีปากเธอเบาๆ
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ก่อนเลย”
เขาถอนหายใจออกมายาวๆ พูดเบี่ยงประเด็นออกมา “เมื่อกี้นี้ในสายหนานเซิงบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล เตรียมที่จะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กับลั่วเยียนพาเธอกลับบ้าน”
“ออกจากโรงพยาบาล?”
ซูสือเยว่ย่นคิ้วออกมา “ลั่วเยียนเพิ่งจะเข้าโรงพยาบาลได้ไม่กี่วันเอง นี่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว?”
“อืม”
ฉินโม่หานลูบผมที่อ่อนนุ่มของเธอไปนิ่งๆ “คุณหมอบอกว่าอาการของลั่วเยียนคงที่ดีแล้ว จะไม่เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา อยู่โรงพยาบาลหรือว่ากลับบ้าน จริงๆแล้วมันก็เหมือนกัน”
“กลับถึงบ้านก็คงจะดีกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลหน่อย เพราะถึงยังไงที่โรงพยาบาลมันก็ค่อนข้างที่จะเสียงดังวุ่นวาย แต่ที่บ้านมันสงบกว่า”
ชายหนุ่มเลิกสายตาขึ้นมองไปไกลๆ “หนานเซิงไม่ได้วางแผนที่จะจัดงานแต่งงาน เรื่องสถานการณ์ของลั่วเยียนนั้นยิ่งน้อยคนรู้เท่าไหร่ก็จะยิ่งดี”
“ตอนนี้พวกเขาได้จดทะเบียนสมรสกันมาแล้ว เย็นนี้พ่อแม่และน้องชายของลั่วเยียนก็จะไปที่คฤหาสน์กินเลี้ยงในครอบครัวร่วมกับพวกเรา เรื่องของการแต่งงานครั้งนี้ก็นับได้ว่าเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย”
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา “งั้นเย็นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นคืนวันแต่งงานของลั่วเยียนกับหนานเซิง?”
“ครับ”
ฉินโม่หานพยักหน้าตอบออกมา “คุณเคยเห็นคืนวันแต่งงานของใครเขาอยู่ที่โรงพยาบาลกัน?”
เธอเข้าใจขึ้นมาทันที
งั้นอย่างนี้แล้วฉินหนานเซิงรับลั่วเยียนกลับบ้านไปก็มีเหตุผลพอที่จะอภัยได้อยู่
“แต่ว่า”
ฉินโม่หานหรี่ตาออกมาเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างได้มองซูสือเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบนึง “คืนแต่งงานของหนานเซิงไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าคืนวันแต่งงานของพวกเราหรอก”
ซูสือเยว่ “…”
พอคิดถึงคืนแต่งงานของเธอกับฉินโม่หานขึ้นมา เธอก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ความแรงของเหล้าพวกนั้นของฉินโม่หานมันมากเกินไปจริงๆ!
เธอตื่นขึ้นมาในวันต่อมา เกือบจะนึกว่าตัวเองได้เสียความทรงจำไปอีกครั้งเสียแล้ว!
เห็นเธอหน้าแดงก่ำออกมา ฉินโม่หานก็หัวเราะออกมาเบาๆ จงใจเย้าแหย่เธอออกไป “คุณนายฉินก็คิดว่าคืนวันแต่งงานของพวกเราน่าตื่นเต้นมากใช่มั้ยครับ?”
“สู้ให้พวกเราหาโอกาสเล่นกันอีกสักครั้งไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
ซูสือเยว่ “…”
เธอได้มองไปยังตำแหน่งที่นั่งคนขับจากทางกระจกมองหลังไปทันที
ไป๋ยู่หนานยืดลำคอตั้งตรงมองไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าได้ยินคำพูดของฉินโม่หาน
ซูสือเยว่อับอายแทบอยากจะตายเสียให้ได้
เธอยกมือขึ้นมาหยิกขาของฉินโม่หานไปอย่างแรงทีนึง “ไป๋ลั่วยังอยู่นะคะ?”
“กลัวอะไร?”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดประเด็นนี้ออกมาต่อ
เขากระแอมออกมาเล็กน้อย “ออกรถ”
ไป๋ลั่วได้สติกลับมา เอ่ยออกไปอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “คุณผู้ชาย ไปไหนครับ?”
“กลับบ้านหรือว่าไปโรงแรมครับ?”
ซูสือเยว่แรกเริ่มยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปว่าทำไมไป๋ลั่วถึงถามว่ากลับบ้านหรือว่าไปโรงแรมออกมา
จนกระทั่ง——
จนฉินโม่หานได้ยกยิ้มออกมาจางๆ “ฉันหมายถึงว่าคืนนี้จะพาคุณนายไปลิ้มลองดู ไม่ใช่ตอนนี้เสียหน่อย”
ซูสือเยว่เข้าใจความหมายของไป๋ลั่วขึ้นมาทันที
เธออับอายเสียจนอยากหาหลุมมุดเข้าไป!
ไป๋ลั่วที่คาดเดาความหมายของเจ้านายผิดไปก็ได้เอ่ยถามออกมาต่อด้วยความนอบน้อม “งั้นคุณผู้ชายอยากไปที่ไหนครับ?”
“ไปโรงพยาบาลจิตเวชในเมือง”