ค่ำคืนดำเนินมาถึงเวลาที่กำหนด
ตอนที่ซูสือเยว่และฉินโม่หานมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉิน ทั้งคฤหาสน์ก็ได้ตกแต่งไปด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
งานแต่งงานของฉินหนานเซิงกับลั่วเยียนถึงแม้ว่าจะไม่ได้จัดขึ้น แต่คืนนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็นับได้ว่าเป็นวันมงคลของตระกูลฉิน
พ่อบ้านของคฤหาสน์ได้นำคนใช้มาแขวนโคมไฟกันด้านนอกวิลล่า
“ใช่ๆซ้ายมืออีกนิด ยินดีอีกนิด!”
“ตัวอักษรที่ว่ามีความสุขทางนี้มันเอง ทำงานกันยังไง!”
พ่อบ้านสั่งจบ พอหันหน้ามาก็เห็นซูสือเยว่กับฉินโม่หานลงมาจากรถ
เขารีบเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที “ท่านชายกับคุณนายน้อยสามมาแล้ว”
ฉินโม่หานพยักหน้าออกไปนิ่งๆ “พวกเรามาสายไปหรือเปล่า?”
“ไม่สายครับๆ!”
พ่อบ้านยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “ทุกท่านเพิ่งจะมากันทั้งนั้นเลยครับ!”
“แต่เมื่อกี้นี้คุณท่านเพิ่งจะให้ผมเร่งให้ท่านชายรีบมาสักหน่อย…”
ดังนั้นแล้วก็ยังสายอยู่ดีงั้นเหรอ?
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา ดึงฉินโม่หานเดินไปทางด้านในตัวคฤหาสน์ไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่บ้างเล็กน้อย
อันที่จริงฉินโม่หานจะไม่มาสายก็ได้อยู่หรอก
แต่ทว่าในตอนที่พวกเขาเตรียมที่จะออกเดินทางกัน ไป๋ลั่วก็ได้เจอเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนนั้นของเธอมานิดหน่อย ฉินโม่หานก็เลยตัดสินใจเลี้ยวรถไปหาไป๋ลั่วทันที
แต่สุดท้ายแล้วหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงมันก็เป็นแค่ความเข้าใจผิด
ครอบครัวนั้นที่ไป๋ลั่วหาเจอถึงแม้ว่าจะได้ไปหาแล้ว แต่แม่คนนั้น…ตอนนี้ได้ถูกพ่อของเด็กแต่งเข้าบ้านไปแล้ว
ดังนั้นแล้วเด็กที่คลอดออกมา แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่ลูกของซูสือเยว่
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ในใจของซูสือเยว่ก็ได้รู้สึกสิ้นหวังไปชั่วขณะหนึ่ง
ด้วยเงินและอำนาจของฉินโม่หาน ตามหาในเมืองหรงมาวันหนึ่งเต็มๆ แต่กลับไม่เจอเบาะแสอะไรเลยสักนิดเดียว
“เดี๋ยวมันก็จะหาเจอในสักวันหนึ่ง”
เห็นเธอไม่พูดออกมา ชายหนุ่มก็คาดเดาได้ว่ากำลังคิดเรื่องลูกอยู่ “เรื่องที่ผมรับปากคุณแล้ว ไม่มีทางจะทำไม่ได้”
เสียงของเขาอ่อนโยนมาก
คำพูดง่ายๆอย่างนี้ แต่กลับทำให้ซูสือเยว่รู้สึกว่าหัวใจรู้สึกแย่ขึ้นมาเหมือนกับขาดอะไรบางอย่างไป
มือที่ได้ดึงฉินโม่หานอาไว้ของเธอกระชับแน่นเล็กน้อย
เธออยากจะเอ่ยขอบคุณออกไปกับเขา แต่ฉินโม่หานได้เตือนเอาไว้ก่อนแล้ว เขาไม่ต้องการการขอบคุณของเธอ
หญิงสาวกัดริมฝีปากอยู่เงียบๆ
พูดขอบคุณออกไปไม่ได้ งั้นเธอทำได้แค่เพียงแสดงความรู้สึกขอบคุณผ่านทางการกระทำแล้วกัน
แต่ปัญหาก็คือผู้ชายอย่างฉินโม่หาน เขาไม่ขาดอะไรเลย
แม้แต่ลูกก็ไม่ได้ขาด
ขาดแต่เพียง…
เธอนึกได้ถึงเมื่อก่อนหน้านี้ที่ซิงหยุนกับซิงเฉินให้เธอลงนามในข้อตกลงชุดนั้นที่ว่าจะต้องมีน้องสาวให้พวกเขาภายในหนึ่งปี
ใบหน้าของหญิงสาวได้แดงระเรื่อออกมาทันที
หรือว่า..
เธอก้มหน้าลง คำนวณรอบเดือนของแต่ละเดือนของตัวเองไปเงียบๆ
ทันใดนั้น หญิงสาวนิ่งค้างไปทั้งร่าง
ถ้าคำนวณไม่ผิดแล้วล่ะก็ สองวันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในเดือนนี้แล้ว
เมื่อคืนวานเขาก็กินเธอไปจนไม่เหลือซากแล้ว
ดังนั้นแล้วคืนนี้…
เปลี่ยนมาเป็นเธอที่จะเป็นฝ่ายกลืนกินเขาแทน?
“พี่ใหญ่ พี่รอง คุณพ่อ”
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มก็ได้ดังขึ้นมาข้างๆเธอ
ซูสือเยว่ได้มีสติกลับมาทันที
ในตอนนี้ พวกเขาได้มาถึงห้องรับแขกในตัวคฤหาสน์ที่เรียบร้อยแล้ว
ภายในตัวคฤหาสน์ นอกจากคนตระกูลซู ยังมีครอบครัวสามคนอยู่ครอบครัวหนึ่ง
สามีภรรยาวัยกลางคนธรรมดาทั่วๆไป ดูไปแล้วก็เป็นคู่สามีภรรยาจากชนบทธรรมดาๆ
ข้างๆทั้งสองคนยังมีเด็กวัยรุ่นที่ดูไปแล้วอายุเพียงสิบห้าสิบหกนั่งอยู่ด้วย
เด็กวัยรุ่นอยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อฮู้ด ในปากกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและความหงุดหงิด เหมือนกับปัญหาหนึ่งของวัยรุ่น
“ทั้งสามท่านเรียงตามลำดับก็คือคุณพ่อ คณแม่ และน้องชายของลั่วเยียน”
ฉินหนานเซิงแนะนำออกมาด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีทุกท่าน”
ฉินโม่หานผู้สูงส่งในตอนที่เห็นพ่อแม่ของลั่วเยียน ได้มีท่าทางนอบน้อมออกมาแทน
เขาโน้มเอวลง เป็นฝ่ายเข้าไปจับมือกับพ่อของลั่วเยียนด้วยตัวเอง “ลำบากแล้วครับ”
พ่อลั่ว ก็รู้สึกประหลาดใจกับที่ได้รับการต้อนรับอย่างคาดไม่ถึง ก็ได้รีบลุกยืนขึ้นมาจับมือกับฉินโม่หานทันที
“ลั่วเยียนแต่งเข้ามาแล้ว คุณก็วางใจเถอะ”
รอยยิ้มกับน้ำเสียงของเขาก็ดูเหมาะสมพอดี
เมื่อเทียบกับคู่สามีภรรยาของฉินเจี้ยนอานที่แสดงใบหน้าไม่ยินยอ อยู่ๆข้างๆ นึกไม่ถึงว่าฉินโม่หานจะเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวฝ่ายชายที่ลูกสาวพวกเขาสามีภรรยาตระกูลลั่วจะแต่งงานด้วยเสียยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
ความรู้สึกอย่างนี้มันทำให้เฉิงลู่รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
เธอกลอกตาออกมา หันไปหยิกบนขาของฉินเจี้ยนอานไปอย่างแรงทีนึง พูดออกไปเสียงเบาว่า “เอาออกมาสิ!”
ฉินเจี้ยนอานลำบากใจเล็กน้อย พูดออกมาเบาๆ “อย่างนี้มันไม่ค่อยดีหรอกมั้ง?”
“อะไรไม่ดีกัน!”
เฉิงลู่ถลึงตาใส่เขาไป “ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือไง?”
ฉินเจี้ยนอานทอดถอนหายใจออกมา และก็ได้หยิบเอกสารชุดหนึ่งจากข้างๆพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“โม่หาน”
เขากระแอมออกมาเล็กน้อย “เมื่อวานที่นายบอกมาว่าตราบใดที่พวกเรายอมรับเรื่องการแต่งงานของหนานเซิงกับลั่วเยียน นายจะโอนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของฉินซื่อกรุ๊ปให้หนานเซิง”
พูดไปแล้ว เขาก็ได้เอาเอกสารมาวางลงไปบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าของฉินโม่หาน “เมื่อวานหนานเซิงกับลั่วเยียนได้ทะเบียนสมรสมาแล้ว พอดีกับที่พ่อแม่ของลั่วเยียนก็อยู่ด้วยพอดี พวกเรามาเซ็นหนังสือการโอนหุ้นชุดนี้ต่อหน้าทุกคนไปเลย”
ด้านหลังของฉินโม่หาน ซูสือเยว่ขมวดคิ้วออกมาเงียบๆ
ฉินเจี้ยนอานสามีภรรยาคู่นี้จะรีบร้อนกันเกินไปมั้ย?
ถึงแม้ว่าจะต้องเซ็นแน่ๆ ก็ไม่อาจจะกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเซ็นกันหรือไง?
ฉินโม่หานจะต้องมาเซ็นทันทีที่เข้าประตูมาเลย?
ฉินหลิงยี่ที่อยู่ข้างๆเองก็ขมวดคิ้วออกมา “พี่ใหญ่ เย็นขนาดนี้แล้ว ให้โม่หานกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกันไม่ได้เลยเหรอครับ?”
“คนตระกูลลั่วมาไกล จะไม่ให้พวกเขาได้กินข้าวกันให้เสร็จก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องอื่นกันเลยหรือไง?”
เฉิงลู่กลอกตาออกมา “คนเขาไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาวันนี้เสียหน่อย”
“อีกอย่าง”
เธอชำเลืองมองไปทางฉินโม่หานอย่างเย็นชา “เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว จะเซ็นก่อนเซ็นหลังมันไม่เหมือนกันหรือไง?”
“ฉันคนนี้มันใจร้อน ต้องได้สัญญามาอยู่ในมือก่อนฉันถึงจะสบายใจ!”
เผชิญกับการทำตัวยกตนข่มท่านออกมาของเฉิงลู่กับฉินเจี้ยนอาน ฉินโม่หานยิ้มออกมา มุมปากแสยะยิ้มออกมาอย่างเยาะหยัน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ กลัวว่าผมจะไม่รักษาคำพูด?”
“วางใจเถอะ ผมไม่ใช่พวกพี่เสียหน่อย”
พูดจบ เขาก็ได้ผันร่างลงไปนั่งบนโซฟาทันที เริ่มทำการตรวจสอบหนังสือโอนหุ้นที่ฉินเจี้ยนอานส่งมาให้เขาอย่างละเอียด
“อ่า”
บนโซฟาที่อยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อฮู้ดสีแดงได้ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “พี่สาวของฉันชอบฉินหนานเซิงนั่นมานานมาก ฉันยังนึกอยู่เลยว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดไปแล้วจริงๆ”
“ที่แท้ก็เพื่อเงินนี่เอง”
เด็กหนุ่มคายหมากฝรั่งในปากทิ้งไป หันหน้าไปมองคู่สามีภรรยาตระกูลลั่วไปอย่างเย็นชา “พ่อแม่ เห็นชัดเจนแล้วใช่มั้ย?”
“ฉินหนานเซิงนั่นแต่งงานกับพี่ก็เพราะหุ้น”
“พวกท่านยังฝันอะไรกันอยู่อีก?”
สองสามีภรรยาตระกูลลั่วสบตากัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ พ่อลั่วลุกยืนขึ้นมา เอ่ยออกมาด้วยเสียงดังทรงพลัง “ฉันยอมรับให้เยียนเยียนได้แต่งงานกับหนานเซิง เป็นเพราะว่าฉันนึกว่าหนานเซิงจะดีกับเยียนเยียนจริงๆ”
“ถ้าหนานเซิงแต่งงานกับเยียนเยียนเพียงเพราะเงินแล้วล่ะก็”
“จากนี้ไปเขาจะต้องทิ้งเยียนเยียนไปแน่”
“การแต่งงานอย่างนี้พวกเราตระกูลลั่วไม่ต้องการ!”
คำพูดของเขาเหมือนกับน้ำเย็นขันนึงได้รดลงมาบนหัวของเฉิงลู่ที่กำลังตื่นเต้นดีใจอยู่
เธอย่นคิ้วออกมา “ว่าไงนะ?”
“แต่งงานกับลูกสาวพวกแก ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน ยังจะคิดอยู่เหรอว่าเราจะอยากได้คนมีสภาพนอนป่วยเป็นผักไร้ประโยชน์อย่างนั้นอีกงั้นเหรอ?”
คำพูดของเฉิงลู่ได้ทำให้แม่ลั่วโกรธจนกุมหน้าอกที่เริ่มจะหายใจถี่ออกมา
“แม่!”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้วออกมา “แม่พูดให้มันน้อยๆหน่อย!”
“อย่ามาโทษว่าฉันพูดไม่น่าฟัง สภาพของลั่วเยียนของพวกแกในตอนนี้ พูดให้ดีหน่อยก็เรียกว่าสลบไม่ได้สติ พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือกำลังนอนป่วยเป็นผักอยู่ไง!”
เฉิงลู่ยังคงได้คืบจะเอาศอก “ลูกชายของฉันยอมแต่งงานกับหล่อน มันก็เป็นวาสนาชั่วชีวิตของพวกแกแล้ว!”
“เหอะๆ”
เด็กหนุ่มโอบแม่ลั่วไปพลาง ตบลงไปที่เธอเบาๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาพลาง จ้องมองฉินหนานเซิงไปด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม “นี่คือสิ่งที่แม่บอกว่าจะดีกับพี่สาวของผมไปชั่วชีวิต?”
ฉินหนานเซิงย่นคิ้วออกมา “คนที่เธอแต่งด้วยก็คือผม ไม่ใช่แม่ของผม”
ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อแม่นั้นไม่จะดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ผ่อนลมหายใจออกมา ชายหนุ่มเลิกสายตาขึ้นมองเด็กหนุ่มไปด้วยแววตาที่จริงจัง “ชิงเจ๋อ ฉันพูดคำไหนคำนั้น”
“ฉันแต่งงานกับเธอ จะไม่มีทางเสียใจภายหลัง และจะไม่มีทางหย่ากับเธอ”
“นายพูดคำไหนคำนั้น?”
ลั่วชิงเจ๋อจ้องมองเขาไปด้วยความเยือกเย็น “ฉินหนานเซิง งั้นนายก็บอกฉันมา ใครที่รับปากออกมาต่อหน้าพวกเราว่าชั่วชีวิตนี้จะรักแค่ลู่จื่อเหยาเพียงแค่คนเดียว?”