ตามมาด้วยคำพูดของลั่วชิงเจ๋อที่หลุดออกมา ได้ทำเอาภายในห้องรับแขกได้ตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาทันที
บรรยากาศอยู่ในความเงียบจนขนาดที่ว่าเข็มหล่นลงไปบนพื้นก็สามารถได้ยินเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน
ลู่จื่อเหยา
นี่เป็นชื่อที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะมาพูดซี้ซั้วต่อหน้าของฉินหนานเซิงออกมาได้
นี่เป็นความเจ็บปวดที่ฉินหนานเซิงไม่อยากพูดถึงที่สุดในชีวิตนี้ของเขาแล้ว
วันเวลาที่มืดมนทั้งหมดในครั้งนึงของชีวิตเขา ล้วนแล้วแต่จะเป็นการที่ลู่จื่อเหยาคอยอยู่กับเขาในที่ไกลๆ
ตั้งแต่สิบขวบที่หาช่องทางการติดต่อของลู่จื่อเหยามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาได้ เขาก็ได้เขียนจดหมายให้เธอไปทุกสัปดาห์ ในทุกๆสัปดาห์เธอก็จะตอบจดหมายเขากลับมา
เขาเขียนความรู้สึกภายในใจไปให้เธอ เธอก็ตั้งใจอ่านในทุกๆประโยค ตั้งใจตอบกลับมา ตั้งใจปลอบโยนเขา
เธอพาเขาเดินออกมาจากมุมที่มืดหม่นที่สุดในชีวิต
แต่เขากลับไม่สามารถดึงเธอออกมาจากชีวิตที่เปราะบางของเธอได้…
นึกถึงชื่อนั้นขึ้นมา บนใบหน้าของฉินหนานเซิงก็ซีดลงจนน่ากลัว
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมา มองลั่วชิงเจ๋อไปอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉันชอบจื่อเหยา กับการที่ฉันจะไม่ทิ้งลั่วเยียนมันไม่เห็นจะมีผลอะไรกันเลย”
“แล้วนายเคยถามพี่สาวฉันแล้วหรือยัง?”
“เธอไม่ได้อยากมีชีวิตอย่างนี้เลย!”
อารมณ์ของลั่วชิงเจ๋อก็ค่อยๆเสียการควบคุมออกมา “เธออยู่ข้างนายมาสี่ปีแล้ว!”
“สี่ปี! มันเทียบไม่ได้กับคนตายคนหนึ่งที่จากไปตั้งแต่ห้าปีก่อนเลย!”
“ฉินหนานเซิง หัวใจของนายมันทำมาจากเหล็กหรือไง?”
เขาจงใจเอ่ยถึงลู่จื่อเหยาขึ้นมาต่อหน้าฉินหนานเซิง เป็นเพราะว่าเขาอยากได้ยินคำตอบกับหูตัวเองว่าฉินหนานเซิงชอบลั่วเยียน
แต่ผลสุดท้ายมันกลับตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง!
ในฐานะที่เป็นน้องชายที่รักพี่สาวที่สุดคนหนึ่งแล้ว จะให้เขาทนรับไหวได้ยังไง?
“ชิงเจ๋อ”
พ่อลั่วที่อยู่ข้างๆลุกยืนขึ้นมา พร้อมกับดึงแขนลูกชายเอาไว้ “ช่างมันเถอะ”
“เยียนเยียนก็ได้จดทะเบียนสมรสกับฉินหนานเซิงไปแล้ว ถึงแม้ว่าต้องการจะหย่ากัน…ก็ต้องรอให้เยียนเยียนฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“พวกเราไม่อาจตัดสินใจแทนเธอได้อีก”
ชายชราได้ประคองภรรยาที่ได้ไอออกมาอย่างแรง “อาหารมื้อนี้ของตะกูลฉิน พวกเราคนตระกูลลั่วขอไม่ทานแล้วกัน”
“มันแพงเกินไป คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่มีปัญญากินหรอก”
พูดจบ เขาก็หันไปมองฉินโม่หาน “คุณฉิน ขอบคุณการดูแลของคุณต่อเยียนเยียน”
“เพียงแต่ว่า การแต่งงานแบบฝืนใจมันจะไปมีความสุขได้ยังไง ใช้หุ้นที่คุณจ่ายออกไปเพื่อให้เยียนเยียนแต่งงานกับฉินหนานเซิง…มันจะเป็นการทรมานต่อทุกฝ่าย”
เขาโบกมือออกมาเล็กน้อย พลางส่ายหน้าออกมา “ช่างมันเถอะครับ”
“ถ้าตระกูลฉินอยากจะหย่ากับเยียนเยียน พวกเราก็น้อมรับด้วยความยินดี”
“ถ้าไม่หย่าล่ะก็ ได้โปรดช่วยดูแลเธอดีๆ ดูแลจนถึงวันที่พวกคุณไม่ต้องการชีวิตสมรสช่วงนี้แล้วก็คืนเธอมาให้พวกเราแล้วกัน”
พูดจบชายชรากับลั่วชิงเจ๋อพากันประคองแม่ลั่วทั้งซ้ายและขวาเดินออกไป
ซูสือเยว่หันหน้าไป เห็นสภาพของทั้งสามคนที่เดินออกไป ภายในใจก็รู้สึกว่ามันว่าเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อันที่จริง…เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดอย่างนั้นเลย!
ในตอนที่เธอกำลังสับสนอยู่ว่าจะเข้าไปอธิบายแทนฉินหนานเซิงดีหรือเปล่านั้นเอง แม่ลั่วก็ได้ถูกชายทั้งสองคนประคองร่างที่โซเซจนแทบจะล้มลงไปกันเอาไว้
พวกเขาเดินกันไปเร็วเกินไป ขาของแม่ลั่วเดินตามไม่ทันนัก
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ในใจของซูสือเยว่รู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากที่เธอส่งสายตาไปให้ฉินโม่หาน ก็ได้ผันร่างเดินตามออกไปทันที
หญิงสาวผลักลั่วชิงเจ๋อออก เข้าไปประคองแม่ลั่วอย่างระมัดระวัง “คุณป้าสุขภาพไม่ดี พวกคุณถึงแม้ว่าจะโกรธ แต่ก็อย่าเดินกันเร็วอย่างนี้สิคะ”
คำพูดของหญิงสาวได้ทำให้ลั่วชิงเจ๋อกับพ่อลั่วหันมาสบตากัน บนใบหน้าของทั้งสองคนได้แสดงสีหน้าละอายใจกันออกมา และก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ซูสือเยว่เข้าไปประคองแม่ลั่ว
พ่อลั่วถึงขนาดที่ยังเป็นสุภาพบุรุษเปิดประตูให้ซูสือเยว่อีกด้วย
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา ประคองแม่ลั่วเอาไว้ ส่งพวกเขาทั้งสามคนออกจากประตูไป
“จุ๊ๆ เอาใจใส่กันจริงๆเลยนะ”
เฉิงลู่มองเงาร่างเบื้องหลังที่เดินออกไปของซูสือเยว่ ก็ได้กลอกตาออกมาด้วยความเย็นชา “ถ้าไม่รู้ก็ยังนึกเลยว่านั่นไม่ใช่พ่อแม่ของลั่วเยียน แต่เป็นพ่อแม่ของหล่อนน่ะ!”
“แม่ เลิกพูดได้แล้ว”
ฉินหนานเซิงนิ่วหน้าออกมา ผันร่างเดินออกไปทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ
ท่านปู่ฉินหลับตาลงนั่งอยู่บนโซฟา มือทั้งสองข้างกุมไม้เท้าแน่น “ไปไหน? ไม่กินข้าว?”
“ไม่กินแล้ว!”
ฉินหนานเซิงย่นคิ้วออกมา “แทนที่จะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ ผมไม่สู้กลับไปดูแลลั่วเยียนเสียดีกว่า!”
พูดจบ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น ประตูวิลล่าได้ปิดลง
“ไร้ประโยชน์จริงๆเลย”
เฉิงลู่กลอกตาออกมา หันหน้าไปมองฉินโม่หาน “น้องสาม นายดูสิ เป็นเพราะว่านายลังเลไม่ยอมเซ็นหนังสือโอนหุ้นชุดนี้ ครอบครัวเจ้าสาวของพวกเราโดนนายทำให้โกรธกันจนหนีหายกันไปหมดแล้ว!”
“นายรีบอ่านสิ อ่านเสร็จก็รีบเซ็นซะ”
“มีหุ้นพวกนี้แล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามีแรงไปคุยกับครอบครัวฝ่ายหญิงกัน”
ฉินโม่หานก้มหน้าลง เอาเงื่อนไขในสัญญาทั้งหมดมาอ่านไปรอบหนึ่ง
แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีจุดไหนที่หละหลวมเลย ฉินเจี้ยนอานกับเฉิงลู่ถึงแม้ว่าจะต้องการหุ้นของเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีความกล้าที่จะเล่นอุบายอะไรบนหนังสือสัญญานัก
ชายหนุ่มหยิบปากกาขึ้นมา เขียนเพิ่มลงไปหนึ่งประโยคตรงส่วนท้ายสุดของหนังสือสัญญาไปอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ได้เซ็นชื่อตัวเองกำกับลงไปในตอนท้าย
“เสร็จแล้ว”
ในนาทีที่เขาพูดออกมา เฉิงลู่ก็ได้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รับสัญญาชุดนั้นกลับไป
เธอย่นคิ้วอ่านประโยคตรงท่อนนั้นที่ฉินโม่หานได้เพิ่มมาตรงส่วนสุดท้าย “น้องสาม นายหมายความว่าอะไร?”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะต้องการให้…
สัญญาการโอนหุ้นชุดนี้มันจะมีผลก็ต่อเมื่อเธอได้ขอโทษจนได้รับการให้อภัยจากพ่อแม่ของลั่วเยียนแล้ว!
นั่นก็หมายความว่าฉินหนานเซิงของพวกเขาจะได้รับหุ้นมาหรือเปล่า มันต้องดูท่าทีของคนบ้านนอกสองคนนั้นด้วย!?
ใบหน้าของเฉิงลู่ได้เปลี่ยนมามีสีหน้าทะมึนตึงออกมา
“ถ้าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ยินยอมแล้วล่ะก็ อย่างนั้นแล้วก็จัดการตามที่คนตระกูลลั่วเขาว่ากันมา โดยการหย่ากันไป แล้วคืนลั่วเยียนกลับไปให้พวกเขา”
เฉิงลู่กัดฟันกรอด
มีเนื้อมาจ่ออยู่ตรงปากแล้วจะปล่อยไปได้ยังไง?
“ฉันจะไปขอโทษคนตระกูลลั่วเดี๋ยวนี้เลย!”
เธอก้าวเท้าเดินออกไป ทันทีที่เดินออกไปได้เพียงสองก้าวก็ได้ถูกฉินเจี้ยนอานดึงกลับมา “พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถอะ!”
“คนเขาเพิ่งจะถูกคุณทำให้โกรธจนต้องเดินออกไป กำลังโกรธสุดๆอยู่นะ”
“คุณไปขอโทษตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังหาเรื่องใส่ตัวอยู่หรือไง?”
“แต่ว่า…”
เฉิงลู่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
นี่มันหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ!
ฉินหลิงยี่ที่อยู่ข้างๆทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขาขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ ลูกสาวของเขาก็แต่งเข้าบ้านพี่ไปแล้ว พี่ยังจะกลัวว่าพวกเขาจะหนีไปอีกหรือไง?”
เฉิงลู่เม้มริมฝีปากคิดแล้วคิดอีก มันก็จริงอย่างที่เขาพูดมา
“ก็ได้”
ฉินหลิงยี่ลุกยืนขึ้นมาบิดขี้เกียจ “รีบกินข้าวกันเถอะ หิวจะตายอยู่แล้ว จัดการกันอยู่ตั้งนาน”
“อีกเดี๋ยวฉันยังต้องวิดีโอคอลกับเชียนจิ่วอีกนะ”
พอเอ่ยถึงเย่เชียนจิ่วขึ้นมา เฉิงลู่ก็ได้กลอกตาออกมา “ยัยเด็กนั่น ปกติหายหัวไปก็ช่าง แต่นี่ฉินหนานเซิงแต่งงานก็ยังไม่กลับมา!”
“ที่ต่างประเทศมันมีนิทรรศการอะไรที่มันน่าดูกันนักหนา มันน่าดูถึงขนาดที่มีงานที่บ้านก็ยังไม่กลับมา?”
ฉินหลิงยี่มองฉินโม่หานไปนิ่งๆ “ไม่ใช่ว่านิทรรศการที่ต่างประเทศมันน่าดูอะไรมากนักหรอก”
“บางทีอาจจะเพียงแค่…”
“ไม่อยากกลับมาก็เท่านั้นเอง”
ฉินโม่หานลุกยืนขึ้น เดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะรับประทานอาหารด้วยท่วงท่าที่สง่างาม เงาร่างเบื้องหลังที่สูงใหญ่ประจันเข้ากับฉินหลิงยี่ “ไม่อยากกลับมาหรือว่าไม่กล้ากลับมา?”
ฉินหลิงยี่มองไปยังเบื้องหลังของเขา หรี่ตาออกมาเล็กน้อย “มีอะไรให้ไม่กล้ากลับมา?”