ซูสือเยว่มองแผ่นหลังที่เดินจากไปของลั่วชิงเจ๋อ แต่เธอก็ยังรู้สึกหัวใจว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
เธอรู้ว่าคำพูดประโยคสุดท้ายที่ลั่วชิงเจ๋อพูด คือประเด็นสำคัญ
แต่ว่า เขาก็ไม่ได้พูดให้มันชัดเจน ลู่จื่อเหยาขโมยของอะไรของลั่วเยียนไปกันนะ
ซูสือเยว่คิดไปคิดมา ก็คิดได้แต่ฉินหนานเซิง
หรือว่าลู่จื่อเหยาจะขโมยฉินหนานเซิงของลั่วเยียนไป?
คนที่ฉินหนานเซิงรู้จักตั้งแต่เด็ก แล้วติดต่อกันในภายหลัง คือลั่วเยียน?
เพียงไม่นาน ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะหัวตัวเอง
ช่วงนี้เธอน่าจะอ่านนิยายเยอะเกิน จนเริ่มเพ้อฝันแล้ว
บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง?
ถึงแม้ว่าฉินหนานเซิงจะแยกลายมือของผู้หญิงที่เขียนจดหมายให้เขาไม่ออก หรือว่าจะแยกนิสัยการพูดของเธอไม่ได้ แต่ว่าลั่วเยียนก็ไม่ได้เป็นใบ้นี่นา
เธอเป็นคนเธอมีชีวิต แล้วฉินหนานเซิงก็เป็นคนที่เธอชอบ ทำไมเธอไม่พูดออกมาตรงๆให้ชัดเจนไปเลย?
น่าจะไม่ใช่แบบนั้น
ซูสือเยว่คิดยังไงก็คิดไม่ออก เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วออกจากร้านขายเกี๊ยว
คนขับรถยืนอยู่ข้างเธออย่างเคารพ “คุณนายครับ ตอนนี้คุณจะกลับบ้าน หรือว่ากลับบ้านครับ?”
หญิงสาวลังเลอยู่สักพัก “กลับบ้านเถอะค่ะ”
เธอไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับพวกคนตระกูลฉินจริงๆ
พอกลับถึงบ้าน เธอต้มหมี่ง่ายๆถ้วยหนึ่ง กะจะกินเอง แต่โดนซิงเฉินที่จะลงมากินน้ำเจอเข้าก่อน
“หม่ามี๊ แอบกินของอร่อยคนเดียว”
“มื้อเย็นวันนี้ที่ผมกับพี่กินคนรับใช้เป็นคนทำ ไม่อร่อยเลยสักนิด!”
พูดจบ เด็กชายก็แย่งถ้วยหมีตรงหน้าของซูสือเยว่ไป
เขาถือถ้วยหมี่แล้ววิ่งขึ้นชั้นบน “หม่ามี๊ มี๊ทำเองอีกถ้วยเลย!”
“ถ้วยนี้ให้ผมกับพี่นะครับ!”
เธอมองแผ่นหลังของเด็กชายที่ท่าทางแปลกๆ ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันหลังกลับห้องครัวไปต้มหมี่ต่อ
ขณะต้มหมี่นั้น เธอได้รับข้อความจากผู้เชี่ยวชาญหานหยุน“เมื่อเย็นตอนที่คุณนึกเรื่องในอดีตขึ้นได้ มีเพียงอาการปวดหัวหรอครับ?”
“ด้านอารมณ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรอครับ?”
ซูสือเยว่ตั้งใจคิดดูดีๆ “ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมน่าจะมั่นใจได้ว่า คุณไม่เคยป่วยครับ”
“สำหรับเหตุผลที่คุณความจำเสื่อม จากที่คุณบอกมา ผมว่าน่าจะเป็นเพราะยาตัวใหม่บางชนิด”
“ผมเคยทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกัน ต่างประเทศมียาชนิดตัวแรงชนิดหนึ่ง ที่สามารถกดทับเส้นประสาทบริเวณความจำของสมองผู้ป่วย ทำให้ความจำเสื่อม หรือถ้านึกถึงเรื่องในอดีตก็จะรู้สึกปวดหัว”
“แต่ว่ากันว่ายาตัวนี้ตอนเพิ่งออกมาครั้งแรกก็มีปัญหาเสียแล้ว สำหรับผู้ป่วยที่จิตใจแข็งแรงไม่พอ พอใช้ยาตัวนี้แล้วก็จะถูกทำลายซ้ำๆ”
“เพราะฉะนั้นการวิจัยยาในขั้นสุดท้ายนั้นท้ายสุดก็ล้มเหลว”
“แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ยังมีผู้ป่วยมากมายทั่วทุกมุมโลกที่สามารถระงับความทรงจำของพวกเขาได้สำเร็จ”
“ซูสือเยว่ ผมคิดว่าคุณคือหนึ่งในนั้น”
“พรุ่งนี้ผมจะไปดูศูนย์วิจัยที่ต่างประเทศให้ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในเหยื่อจากยาตัวนี้ ทางศูนย์วิจัยจะได้พัฒนายาฟื้นความจำให้คุณ”
ซูสือเยว่ที่ยืนอยู่ในห้องครัว มองข้อความในโทรศัพท์ที่หานหยุนส่งมา หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เพราะฉะนั้น เธอไม่เคยเป็นบ้า
อีกอย่าง ถ้าเธอเป็นเหยื่อจากยาที่ว่าจริงๆ เธอจะได้ไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวดเหมือนเมื่อตอนเย็น แล้วก็จะจำเรื่องราวในอดีตได้ด้วย ใช่ไหม?
เรื่องนี้ทำให้ซูสือเยว่ดีใจจนยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
หลังจากที่ต้มหมี่เสร็จ เธอดีใจจนกินหมดไปสองถ้วย
“กินหมี่แค่นี้ดีใจได้ขนาดนั้นเลย?”
ตอนที่กินหมี่ถ้วยที่สองไปได้ครึ่งถ้วย ข้างหูของเธอมีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น
ซูสือเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างทันที
ตรงหน้าของเธอ ไม่รู้ว่าฉินโม่หานไปนั่งอยู่ด้านตรงข้ามเมื่อไหร่กัน
เขาถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือเพียงเชิ้ตสีขาวบนตัว แล้วพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่แข็งแรง
ในตอนนี้ เขาเอามือกอดอก แล้วมองเธอเงียบๆ
พอดูแล้ว เขาน่าจะกลับมาได้สักพักแล้ว
แต่เธอไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยสักนิด!
ในหัวและในใจของเธอมีเพียงถ้วยหมี่ตรงหน้า!
หญิงสาวหัวเราะอย่างเขินอาย “นายกลับมาเมื่อไหร่?”
“ตอนที่เธอเริ่มกินถ้วยที่สอง”
ซูสือเยว่:“……”
ผู้ชายคนนี้เดินไม่มีเสียงหรือไง?
“เธอกินอร่อยมาก”
เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ในหม้อยังเหลือไหม?”
ซูสือเยว่ส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
เมื่อกี้เธอตักหมี่มาในหม้อจนสะอาดหมดจด!
“ถ้าอย่างนั้นเธอคงไม่ได้กินต่อแล้วแหละ”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างช่วยไม่ได้ เขายืดแขนยาวออกมา แล้วหยิบถ้วยหมี่ที่เหลือครึ่งถ้วยหน้าซูสือเยว่ไป
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่ถือตัว แล้วเริ่มกินหมี่ที่เธอกินเหลือครึ่งหนึ่ง
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก “คือ ถ้านายอยากกิน ฉันทำให้นายอีก……”
ไม่จำเป็นต้องกินของเหลือจากเธอ……
“ไม่ต้องแล้ว”
ผู้ชายคนนี้ แค่ท่าทางกินข้าวยังดูสง่าได้อีก “ฉันไม่รังเกียจเธอ”
ซูสือเยว่เม้มปาก ใบหน้าเริ่มแดง ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ
“ฉันเซ็นสัญญาของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้แล้ว”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดภายในห้องครัว “แต่ฉันเพิ่มข้อเสนอเข้าไป คือให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปขอโทษสามีภรรยาตระกูลลั่วสัญญาถึงจะมีผล”
ขณะพูด เขาเงยหน้ามองซูสือเยว่นิ่งๆ “จัดการเรียบร้อยสักที”
ซูสือเยว่เม้มปาก “ฉันฟังจาก ลั่วชิงเจ๋อมาว่า…… ลู่จื่อเหยาถูกคุณพ่อลั่วกับคุณแม่ลั่วเลี้ยงมาจนโต”
“อื้ม”
ฉินโม่หานพยักหน้า “ลั่วเยียนรู้จักลู่จื่อเหยาตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้า หลังจากนั้นคนตระกูลลั่วก็หาลั่วเยียนเจอ เลยรับเลี้ยงลู่จื่อเหยาไปด้วย”
“และมันคือเหตุผลที่ลู่จื่อเหยาที่ย้ำแล้วย้ำอีกก่อนจะตาย ว่าให้หนานเซิงดูแลลั่วเยียนดีๆ”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากตัวเอง “เพราะมันคือพระคุณ”
พระคุณที่เลี้ยงดูเธอ
สำหรับลู่จื่อเหยาแล้ว พระคุณที่ตระกูลลั่วเลี้ยงดูเธอมาคือหนี้ที่เธอติดค้าง แต่สำหรับเธอแล้ว พระคุณที่ตระกูลซูเลี้ยงดูเธอมา ทำให้เธอรู้สึกหนาวใจ
พอนึกถึงตระกูลซู……ก็ทำให้เธอนึกถึงซูจิ่นเฉิงและซูโม่อย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่ซูโม่เข้าสถานีตำรวจ ซูจิ่นเฉิงก็คิดแผนหลายวิธีมาขู่เธอ
หากวีดิโอวันนี้ที่ผู้กำกับหลินถ่ายทำให้เธอถูกปล่อยออกมา สิ่งสุดท้ายที่ซูจิ่นเฉิงจะเล่นงานเธอก็จะหมดไป
เธอหลับตาลง
เธอไม่เชื่อว่าซูจิ่นเฉิงจะยอมถอดใจเพราะคลิปวีดิโอจากผู้กำกับหลิน
เขาต้องใช้อย่างอื่นมาขู่เธออีกแน่นอน
พอนึกเรื่องพวกนี้ เธอก็จะรู้สึกปวดหัว
“เมื่อกี้ตอนกลับมา ไป๋ลั่วไปดูมาแล้ว”
“หลักฐานในคดีของซูโม่นั้นแข็งแรงพอ จะมีการตัดสินในวันจันทร์หน้า”
“เขาไปปรึกษากับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง คดีของซูโม่ น่าจะถูกจำคุกสิบปี”
ซูสือเยว่เม้มปาก “สิบปี?”
“ทำไมหรอ หรือว่ารู้สึกน้อยไป?”
“เปล่า”
เธอส่ายหัว “เดี๋ยวซูจิ่นเฉิงก็เป็นบ้าหรอก”
“เรื่องของเขาสิ”
ฉินโม่หานวางตะเกียบลง แล้วหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากด้วยท่าทางที่สง่างาม “ที่น่าสนใจคือ”
“วันนี้ฉันเพิ่งได้ข่าวที่แน่นอนมาว่าวันจันทร์หน้าซูโม่จะเข้ารับการพิจารณาคดี แล้วเย่เชียนจิ่วบอกพี่สอง ว่าเธอจะกลับมาวันอังคารหน้า”