เช้าตรู่วันที่สอง ซูสือเยว่โดนฉินหนานเซิงลากเข้ากลุ่มกลุ่มหนึ่งในวีแชท
ในกลุ่มไม่ได้มีเพียงเธอ ยังมีฉินโม่หาน และคนในตระกูลฉิน
แน่นอนว่า มีพ่อแม่ของลั่วเยียนและน้องชายของเขา
เฉิงลู่ : ดิฉันขอโทษคนตระกูลลั่วด้วยนะคะสำหรับคำพูดหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของดิฉัน ดิฉันดูถูกคนไปเองค่ะ ขออภัยคนตระกูลลั่วมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
เฉิงลู่ : จริงๆดิฉันไปหาที่โรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เพียงแต่ว่าโดนคุณลั่วชิงเจ๋อไล่ออกมาสองรอบ ฉันเลยไม่มีวิธีไหน นอกเสียจากขอโทษในวีแชทแบบนี้ค่ะ
เฉิงลู่ : ถ้าครอบครัวลูกสะใภ้ยอมให้อภัยแล้วเปิดประตูให้ดิฉัน ดิฉันจะเอาของขวัญมูลค่าหนึ่งแสนส่งถึงมือเป็นการขอบคุณเลยค่ะ
ฉินเจี้ยนอาน : ใช่ครับ ขอโทษด้วยนะครับ ครอบครัวลูกสะใภ้!
ฉินเจี้ยนอาน : @ลั่วจื่อเจี้ยน @คุณแม่ลั่วเยียนขอโทษครับ ให้อภัยด้วยครับ
ซูสือเยว่ที่ล้างหน้าแปรงฟันอยู่ดูข้อความในกลุ่มไปด้วย ริมฝีปากเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
คู่สามีภรรยาฉินเจี้ยนอาน ทำทุกอย่างได้เพื่อเงินจริงๆ
ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งตอนเช้า แต่พวกเขาโดนคนไล่ออกจากโรงแรมมาสองรอบแล้ว
พอเห็นข้อความพวกนั้นแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมา
ถ้าหากเฉิงลู่กับฉินเจี้ยนอานไม่ได้ทำเพื่อเงิน นี่คงเป็นฉากที่ดูรักใคร่กันมาก
แต่ตอนนี้ซูสือเยว่รู้สึกได้ถึงการประชด
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ทางฝั่งตระกูลลั่วก็ยังคงไม่มีใครตอบ
และแล้วเฉิงลู่กับฉินเจี้ยนอานก็เริ่มส่งข้อความเข้ามาในกลุ่มไม่หยุดไม่หย่อน
หลังจากที่ซูสือเยว่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ในที่สุดคนตระกูลลั่วก็ได้ตอบกลับข้อความ
ลั่วจื่อเจี้ยน : ไม่ต้อง@แล้ว โทรศัพท์พ่อผมอยู่ที่ผม ผมคือลั่วชิงเจ๋อ
คุณแม่ลั่วเยียน: โทรศัพท์เครื่องนี้ก็อยู่ที่ผม
ลั่วชิงเจ๋อ : พวกคุณน่ารำคาญมาก ให้คนได้นอนหลับพักผ่อนดีๆไม่ได้หรือไง?
เฉิงลู่และฉินเจี้ยนอานทั้งสองคนโดนลั่วชิงเจ๋อตอกกลับจนพูดไม่ออกสักคำ
หลังจากที่เวลาล่วงเลยไปอีกครั้งฉินหลิงยี่ก็ได้ลากเย่เชียนจิ่วเข้ากลุ่ม
“อุ้ย นี่กลุ่มครอบครัวไม่ใช่หรอเนี่ย?”
เย่เชียนจิ่วเริ่มพิมพ์แชทคุยในทันที “จากที่ดูแล้ว อยู่กันทุกคนเลยนะคะ ฉันเข้ามาคนสุดท้ายเลยใช่ไหมคะเนี่ย”
“ดูเหมือนว่าฉันจะสำคัญกับทุกคนมาก เพราะฉันมาตอนสุดท้ายเลย”
ฉินหนานเซิง : “ก็แค่ลืมไปว่าตระกูลฉินยังมีเธออยู่”
เย่เชียนจิ่วเงียบหายไปนาน สุดท้ายเธอก็ส่งอิโมจิรูปยิ้มมา “หนานเซิงเล่นตลกเก่งจริงๆเลยนะ”
พอพูดประโยคนี้จบ กรุ๊ปแชทก็เข้าสู่โหมดเงียบ
และในตอนที่ซูสือเยว่นึกว่าจะไม่มีอะไรต่อ ตอนที่เตรียมจะเก็บโทรศัพท์ลง คำขอเพิ่มเพื่อนในโทรศัพท์เด้งขึ้น
เย่เชียนจิ่วนั่นเอง
เธอลังเลอยู่สักครู่ ก่อนที่จะกดยินยอม
“ซูสือเยว่”
เย่เชียนจิ่วส่งรูปภาพให้ซูสือเยว่ทันที “ฉันสวยไหม?”
ซูสือเยว่เปลี่ยนเสื้อไปด้วย พร้อมเปิดดูรูปภาพไปด้วย
วินาทีที่สายตาของหญิงสาวมองภาพนั้น เธอถึงกับชะงักไป
เดิมทีเธอนึกว่า รูปนี้จะเป็นเพียงรูปเดี่ยว
แต่ไม่นึกว่า จะเป็นรูปคู่
รูปคู่ของเย่เชียนจิ่วและฉินโม่หาน
ภายในรูปคู่นั้น ฉินโม่หานนั่งอยู่บนโซฟา ส่วนเย่เชียนจิ่วยืนอยู่ด้านหลังเขา
ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาอย่างสูงสง่า ด้านหลังของเขา มือข้างหนึ่งของเย่เชียนจิ่ววางไว้บนโซฟา ส่วนอีกข้างพาดไว้บนไหล่ของเขา
ดูจากไกลๆแล้ว ความสัมพันธืของทั้งสองนั้น ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
ซูสือเยว่เงียบลง
จากที่ฉินโม่หานเคยพูดก่อนหน้านี้ เขากับเย่เชียนจิ่วไม่เพียงแค่ไม่สนิทกัน พวกเขาถึงขั้นไม่คุ้นเคยกันด้วยซ้ำ
ว่าที่สามีภรรยาที่เขาว่ากันนั้น เป็นเรื่องที่คนอื่นพูดเล่นเฉยๆ
แต่ว่า……
การปรากฏของรูปภาพนี้ กลับทำให้ซูสือเยว่รู้สึกว่า ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่ฉินโม่หานบอก
ถ้าเขาไม่ได้สนิทกับเย่เชียนจิ่วจริงๆ ทำไมถึงถ่ายรูปแบบนี้กับเขา?
แล้วทำไมเขาถึงยอมให้เย่เชียนจิ่ววางมือบนไหล่เขาได้?
“เธอรู้สึกไหมว่าโม่หานในรูปนี้ดูหล่อกว่านิดหน่อย?”
“ก็ใช่ โม่หานหน้าตาหล่อมาตลอด ถ้าไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีผู้หญิงมากมายที่ไม่คู่ควรกับเขา ที่อยากจะแต่งงานกับเขาจนตัวสั่นหรอก เธอว่าจริงไหม?”
ทุกคำพูดของเย่เชียนจิ่ว ทำให้ซูสือเยว่รู้สึกไม่สบาย
เพียงไม่นาน เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ล้วตอบกลับ “เขาเป็นสามีของฉัน ฉันก็ต้องรู้สึกว่าเขาหล่อสิคะ”
“ถ้าหากเขาไม่หล่อ ก็คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่สนิทกับเขาแล้วสรรหาหลักฐาน เพื่อที่จะเอามายืนยันว่าสนิทสนมกับเขาหรอกใช่ไหมคะ?”
ชัดเจน
หลังจากที่ซูสือเยว่ส่งข้อความนั้นไป เวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร เย่เชียนจิ่วทางฝั่งตรงข้ามไม่ได้ตอบกลับอะไร
เธอเกี่ยวยิ้มขึ้น
ยกนี้ ถือว่าเธอชนะ?
หญิงสาวสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเก็บโทรศัพท์ลง แล้วหันหลังเดินออกจากประตู
วันนี้เธอนัดกับผู้เชี่ยวชาญหานหยุนไว้ว่าจะทำการทดสอบเกี่ยวกับอาการความจำเสื่อม
เขาจะบันทึกผลการทดสอบทุกอย่างของเธอ จากนั้นก็เอาตรวจสอบที่ศูนย์วิจัยต่างประเทศ เพื่อทำการวิจัย
ถ้าหากมั่นใจแล้วว่าเธอตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดจากยาตัวนั้น การฟื้นความทรงจำของเธอก็จะง่ายขึ้น
สถานที่ที่พวกเขานัดเจอยังคงเป็นโรงพยาบาลจิตเวชที่เจอกันเมื่อวาน
พอตอนที่ซูสือเยว่มาถึง หานหยุนก็ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูโรงพยาบาลจิตเวชแล้ว
วันนี้หานหยุนใส่ชุดวอร์มออกกำลังกายสีควันบุหรี่ ลุคของเขาดูสบายๆ พอมองเผินๆแล้วดูวัยรุ่นกว่าฉินหนานเซิงเสียอีก
พอเห็นว่าเธอมาแล้ว หานหยุนยิ้มทักทายเขา “เราเข้าไปกันเถอะ”
“ไม่ต้องตื่นเต้น วันนี้ก็แค่ทำแบบสำรวจเกี่ยวกับอาการความจำเสื่อมง่ายๆ”
หานหยุนถือเครื่องอัดเสียงเดินเข้าโรงพยาบาลจิตเวชพร้อมกับซูสือเยว่ “ความทรงจำของคุณที่นี่ยังเหลือเท่าไหร่ครับ?”
เพราะต้องทำการบันทึก เพราะฉะนั้นหานหยุนจึงต้องอัดเสียงไว้ทั้งหมด
เริ่มแรก ซูสือเยว่ยังต่อต้านวิธีนี้เล็กน้อย
แต่หลังจากนานวันเข้า เธอก็เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับวิธีนี้ไปโดยธรรมชาติ บางครั้งก็พูดคุยหรือเล่นมุกกับหานหยุนเหมือนเป็นเพื่อนกัน
หลังจากที่ทั้งสองเดินเล่นกันในโรงพยาบาลจิตเวชตลอดช่วงเช้า
ช่วงบ่าย พวกเขาก็ออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชด้วยกัน
ในขณะที่ออกจากประตู รถที่จอดอยู่หน้าประตูของโรงพยาบาลดึงดูดความสนใจจากซูสือเยว่
นี่คือ……รถของซูจิ่นเฉิง?
เธอขมวดคิ้ว ซูจิ่นเฉิงมาโรงพยาบาลจิตเวชทำไม?
หรือเพราะรูปภาพยังไม่พอ แล้วมาหารูปที่นี่เพิ่มอีก?
ผู้ชายคนนี้นึกว่ารูปภาพพวกนั้นจะทำอะไรเธอได้งั้นหรอ
พอนึกถึงตรงนี้ ซูสือเยว่ก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันกลับไปมองหานหยุนข้างๆ “คุณหมอหาน ฉันเลี้ยงข้าวคุณได้ไหมคะ”
หานหยุนหัวเราะเบาๆ “ได้สิครับ”
“คุณนายฉินเลี้ยงหล่ะก็ ผมอยากจะทานของแพงครับ”
“ไม่มีปัญหา”
ซูสือเยว่เกี่ยวยิ้มขึ้นแล้วหัวเราะ “รอคุณกลับจากต่างประเทศ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ฉันก็จะเลี้ยงข้าวคุณค่ะ”
“งั้นตกลงตามนี้นะครับ”
และแล้ว ซูสือเยว่ก็ไปร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงร้านหนึ่งในเมืองหรงกับหานหยุน
ใช้เวลารออาหารนานมาก แต่เพราะซูสือเยว่และหานหยุนมีเรื่องที่คุยถูกคอกันมากมาย ก็เลยไม่รู้สึกถึงความอึดอัด
เวลาล่วงเลยไปทีละนาที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลังจากที่ซูสือเยว่กินคำสุดท้ายเสร็จ เธอก็สูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอด เธอเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่เสียงโทรศัพท์ดันดังขึ้นก่อน
ปลายสายคือลั่วชิงเจ๋อที่โทรมา
เธอขมวดคิ้ว แล้วกดรับสาย “ว่าไง?”
“ซูสือเยว่。”
น้ำเสียงชายหนุ่มจากปลายสายสั่นเครือเล็กน้อย “ซูโม่คนนั้นที่วางแผนลักพาตัวพี่สาวผม……พ้นผิดแล้ว”