คำพูดของเจี่ยนเฉิง ทำให้ซูสือเยว่เงียบไปนาน
ทันใดนั้น เธอก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ “งั้นพ่อคะ แล้วทำไมตอนนั้นพ่อต้องมานับลูกกับหนูคืนล่ะ?”
“หลังจากที่พ่อมานับลูกกับหนู พ่อไม่ได้ให้หนูใช้ชีวิตกับพ่อ แต่ให้หนูกลับตระกูลซู ให้หนูเป็นคนรับใช้คนตระกูลซู”
“ถ้าหากตามตรรกะของพ่อแล้ว พ่อให้ชีวิตที่ดีกว่ากับหนูไม่ได้ แต่ก็ไม่ให้หนูออกจากบ้านตระกูลซู”
“ตอนนั้น พ่อไม่ควรมานับลูกนับพ่อกับหนู”
เธอพูดอย่างใจเย็นและไม่แยแส
ชายชราฝั่งปลายสายเงียบลง
เพียงไม่นาน เขาก็หัวเราะออกมาเสียงเบา “ลูกโตแล้วสินะ”
เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น ที่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
ซูสือเยว่เลิกคิ้ว “พ่อ หนูอายุยี่สิบสามแล้ว”
ตอนอายุสิบแปด ตอนที่เธอกับเจี่ยนเฉิงนับพ่อลูกกัน เธอนึกว่าตัวเองจะหนีออกจากบ้านตระกูลซูที่เยือกเย็นละโหดเหี้ยมได้แล้ว
แต่สิ่งที่แลกมานั้นคือ โดนเจี่ยนเฉิงละเลย เมินเฉย ไม่เคยถามไถ่
ตอนนั้นเธอแทบจะจนมุม เพื่อหาทางช่วยเฉิงเซวียน
แต่คนที่เพิ่งโดนนับถือเป็นพ่อ เจี่ยนเฉิงกลับเมามายทุกวัน ไม่ถามไถ่เธอแม้แต่น้อย แล้วยังขอให้เธอเลิกกับเฉิงเซวียนอีก
แม้ว่าสุดท้าย เฉิงเซวียนจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าที่เจี่ยนเฉิงเย็นชาหรือว่าละเลยเธอไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ตอนนี้ เวลาผ่านไปห้าปีแล้ว
เธอไม่ใช่คนโง่ที่ยอมเชื่อว่าเจี่ยนเฉิงจะมอบครอบครัวที่อบอุ่นให้เธอเหมือนห้าปีก่อนแล้ว
“เพราะฉะนั้น พ่อก็มีความคิดเป็นของตัวเองเหมือนกันแล้วไม่ใช่หรอ”
เจี่ยนเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “สือเยว่ ความจริงที่ลูกอยากได้ ลูกไปตามหาเองนะ”
“เด็กที่ลูกอยากหา ขอให้ลูกพยายามหาให้ถึงที่สุด”
“พ่อช่วยอะไรลูกไมม่ได้”
“สู้ๆนะลูก”
หลังจากที่พูดคำนี้จบ เจี่ยนเฉิงกดวางสายอย่างเยือกเย็นในทันที
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว ตอนที่เธอโทรกลับไปอีกรอบนั้น เขาได้ปิดเครื่องไปเสียแล้ว
ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เก็บโทรศัพท์ แล้วออกจากร้านอาหาร
ในตอนเย็น เธอได้รับสายที่ซูจิ่นเฉิงโทรมา
ชายที่อยู่ปลายสายกำลังพูดตีโพยตีพาย “ซูสือเยว่ ถือว่าเธอแน่!”
“เครื่องบินส่วนตัวที่ฉันแอบจองให้โม่โม่โดนคนขัดขวางที่สนามบินแล้ว!”
ซูจิ่นเฉิงกัดฟันอย่างแน่น “แกอย่าคิดว่าแกจะขวางไม่ให้โม่โม่ออกจากเมืองหรง แล้วฉันจะไม่มีวิธีอื่น!”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เรื่องนี้ฉินโม่หานเป็นคนทำแน่นอน
เธอมองผ่านประตูกระจกของห้องครัว ไปยังชายที่กำลังดูเอกสารด้วยท่าทางที่สง่าอยู่บนโซฟา
ใบหน้ามุมข้างของเขา ที่ไม่มีสีหน้าอะไร ราวกับเขาไม่ได้ทำอะไร
ผู้ชายคนนี้……
หลายๆครั้ง เรื่องที่เขาทำเพื่อเอนั้น เขาไม่เคยเอ่ยถึงมันก่อนเลย
เหมือนกับตอนนี้ ถ้าซูจิ่นเฉิงไม่ได้โทรมา ฉินโม่หานคงไม่มีทางบอกเธอ ว่าเขาได้ขัดขวางซูโม่ที่จะหนีออกจากประเทศไว้ได้
คิดได้เท่านี้ ในใจของซูสือเยว่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันขอบอกแกนะ โม่โม่มีไพ่ทองอภัยโทษ ไม่กลัวแกหรอก!”
ซูจิ่นเฉิงที่อยู่ปลายสายยังคงดิ้นรน
“ไพ่ทองอภัยโทษ?”
ซูสือเยว่ที่ยืนอยู่ในห้องครัว ขมวดคิ้วแล้วพลิกปลาในหม้อไปด้วย เกี่ยวยิ้มมุมปากไปด้วย “โรควิตกกังวลคลั่งไคล้เป็นระยะ?”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าได้ดีใจเช้าไปเลยค่ะ”
พูดจบ ซูสือเยว่ก็กดตัดสายทันที ทิ้งโทรศัพท์ไปอีกข้าง แล้วตั้งใจทำปลาให้ฉินโม่หาน
เขาทำเพื่อเธอมากมายขนาดนี้ เธอไม่มีอะไรตอบแทนเขาเลย ทำอาหารมื้อที่มีปลานั้นมันความสามารถของเธอเลย
“ว้าว!”
ประตูห้องครัวถูกเปิดออก แล้วมีหัวเล็กๆสองคนโผล่เข้ามา
คนที่หัวใหญ่หน่อยคือซิงเฉิน ส่วนคนหัวเล็กคือซิงกวาง
วันนี้จี้หนานเฟิงมีงานที่ต้องถ่าย น่าจะใช้เวลาประมาณสองวัน เพราะฉะนั้นซิงกวางก็เลยมากินข้าวที่บ้านตระกูลฉินไปโดยปริยาย
ครั้งแรกยังแปลกหน้าครั้งที่สองเริ่มสนิท ครั้งที่สามเห็นเป็นบ้านตัวเองไปแล้ว
ซิงกวางในตอนนี้ เหมือนว่าตระกูลซูเป็นบ้านของเธอเองไปแล้ว
“น้าซู กำลังทำอะไรหรอคะ หอมมากเลยค่ะ?”
ดวงตากลมตาโตของซิงกวางที่ลุกวาวกะพริบตามองซูสือเยว่ “พี่ซิงเฉินบอกว่าน้าทำอาหารอร่อยมาก”
“เหอะ ตอนนี้อิจฉาพี่กับพี่ชายฉันแล้วหล่ะสิ เพราะพวกเรามีหม่ามี๊ที่ดีขนาดนี้?”
ซิงเฉินเอามือกอดอกอย่างรู้สึกเหนือกว่า “หม่ามี๊ของพี่ทำอาหารอร่อยที่สุด!”
ซิงกวางเบ้ปาก “หนูแค่อิจฉาพี่ แต่ไม่ได้อิจฉาพี่ซิงหยุน”
“จริงหรอ?”
ซิงเฉินชะงัก ยัยบ๊องนี่มองพี่ชายเขาจนตาลุกวาว ราวกับแฟนคลับที่ได้เจอไอดอล เขานึกว่าในสายตาซิงกวางจะเห็นเขาด้อยกว่าซิงหยุนเสียอีก!
คาดไม่ถึง!
ว่าคนที่เธออิจฉาที่สุดคือเขา!
พอคิดถึงตรงนี้ เด็กชายก็ชื่นใจขึ้นมา “พี่ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้ เดี๋ยวน้องก็ค่อยๆรู้เองว่าพี่เก่งกว่าพี่ชายพี่”
เขาตบไหล่ซิงกวางอย่างชอบใจ “เด็กมีอนาคตสอนได้!”
“ต่อไปนี้ต้องการให้พี่ซิงเฉินช่วยเหลืออะไร ว่ามาได้เลย!”
ซิงกวางมองเขานิ่งๆ “หนูอิจฉาพี่เพราะว่า”
“พี่มีพี่ชายที่ดีขนาดนี้ มีหม่ามีที่ดีขนาดนี้……”
ซิงกวางพูดจบ หันหน้าไปมองซิงกวางที่นั่งอยู่ข้างฉินโม่หานอยู่บนโซฟา “ที่หนูไม่อิจฉาพี่ซิงหยุน……”
เด็กใช้สายตาที่รังเกียจมองซิงเฉินแวบหนึ่ง “เพราะเขามีน้องชายแบบพี่ไง……”
ซิงเฉิน:“……”
เขาหันหน้า แล้วใช้สายตาที่น่าสงสารมองซูสือเยว่ “หม่ามี๊ ผมได้รับบาดเจ็บครับ!”
ซูสือเยว่โดนพวกเขาสองเขาแกล้งจนหัวเราะออกมา เธอปิดไฟจากเตาแล้วยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรนะครับ หม่ามี๊ชอบซิงเฉินที่สุดแล้ว”
เด็กชายกระพริบตา และใช้สายตาที่น่าสงสารมองซูสือเยว่ “จริงหรอครับ?”
“จริงครับ”
เธอลูบหัวเขา แล้วหยิบคุกกี้ที่เพิ่งอบเสร็จให้เขา “พาน้องไปกินด้วยกันนะครับ”
ซิงเฉินเบ้ปาก แล้วกอดกล่องคุกกี้ไว้อย่างระมัดระวัง หันหน้ากลับไปแล้วใช้สายที่รังเกียจมองซิงกวาง “ไปกันเถอะ”
“ถึงแม้ว่าน้องจะทำร้ายพี่ แต่พี่ก็ยังจะแบ่งคุกกี้ให้น้อง แสดงให้เห็นว่าพี่หน่ะใจกว้าง!”
ซิงกวางหัวเราะอย่างสดใสพร้อมกับจับมือของซิงเฉินเอาไว้ “ก็ได้ รู้แล้วว่าพี่ซิงเฉินใจดีที่สุด!”
พูดจบ เธอก็รีบเดินตามตูดซิงเฉินไป ทั้งสองคนค่อยๆเดินออกไป
บนโซฟาห้องรับแขก
ฉินโม่หานวางเอกสารลง แล้วมองท่าทางของซิงเฉินกับซิงกวางที่นั่งกินคุกกี้อยู่บนพรหม แล้วขมวดคิ้วเบาๆ “นี่เป็นสิ่งที่เด็กควรทำ”
พูดจบ เขาก้มองซิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง
บนหน้าตักของเด็กชายมีโน๊ตบุ๊ควางไว้
บนหน้าจอนั้น ฉายภาพตัวเลขโค้ดมากมายที่ยากจะเข้าใจ
“ใช่ไหม?”
ซิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ สายตาเย็นชาเหมือนกับเขา “หม่ามี๊ผมกำลังทำอาหาร”
ฉินโม่หานเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ผมคิดว่า สามีคนปกติทั่วไปแล้ว เวลาที่ภรรยาทำอาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปช่วย ก็ควรจะไปแสดงความห่วงใยหน่อยนะครับ”
“อาจจะเป็นการกอดภรรยาจากด้านหลัง นั่นก็เป็นวิธีที่สามีแสดงความโอนโยนต่อภรรยา”
พูดจบ เขาได้ใช้สายตาที่รังกียจมองไปยังฉินโม่หาน “ถ้าผมไม่เหมือนเด็ก แล้วคุณฉินโม่หาน เหมือนสามีคนปกติมากแค่ไหนครับ?”
ฉินโม่หาน:“……”
ลูกชายคนนี้ของเขาถ้าไม่พูดก็จะไม่พูดเลย แต่ถ้าได้พูดก็เล่นตอกกลับเสียจนไปไม่ถูก!