ในเวลาอาหารค่ำ ซูสือเยว่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ
เธอเหลือบไปมองฉินโม่หานที่กำลังกินข้าวด้วยสีหน้าที่เย็นชาอยู่ข้างๆเธอ จากนั้น ก็เหลือบไปมองซิงเฉินและซิงกวงที่กำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ รู้สึกว่าเมื่อสักครู่ที่เธออยู่ในห้องครัวจะพลาดอะไรบางอย่างไป
สัญชาตญาณบอกเธอว่า เธอต้องพลาดอะไรสนุกๆไปแน่เลย
ทว่า เห็นสีหน้าของฉินโม่หานไม่ค่อยดีนัก เธอก็เลยไม่กล้าที่จะถามออกไปตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่……….
ถ้าไม่ถามเธอก็ไม่สบายใจ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็เหลือบไปมองซิงเฉินอย่างทนไม่ไหว“กินข้าวดีๆ มีอะไรน่าหัวเราะเหรอ?”
ซิงเฉินยิ้มแล้วมองไปยังเธอ “หม่ามี๊ แด๊ดดี้บอกว่าหม่ามี๊ชอบแด๊ดดี้มากเลย”
“ชอบจน ทักไปบอกอรุณสวัสดิ์ในตอนเช้า และบอกฝันดีในตอนกลางคืน แถมยังส่งข้อความหวานๆชวนเลี่ยนไปอีกด้วย”
พูดจบ เขากะพริบตาแล้วมองไปที่ใบหน้าของซูสือเยว่ “หม่ามี๊ ทำแบบนี้เหรอครับ?”
ซูสือเยว่:“……”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอถึงถามซิงเฉินออกไป
ทำไมเรื่องที่เธออยากรู้นั้น กลายเป็นเรื่องของตัวเองเสียล่ะ?
ผู้หญิงเม้มปาก และมองไปทางฉินโม่หานโดยไม่รู้ตัว
พอดีกับผู้ชายก็กำลังมองเธออยู่
ดวงตาทั้งสองสบกัน ฉินโม่หานมองเธออย่างนิ่งๆแล้วยักไหล่ ประมาณว่า แล้วแต่เธอจะพูด
ซูสือเยว่จะกล้าพูดมั่วได้อย่างไร?
เธอประหม่าจนกระแอมออกเสียงเล็กน้อย “คือ…….มันเป็นแบบนี้”
ตอนนั้น ฉินโม่หานเอาโทรศัพท์ของเธอไปเมมเบอร์ของตัวเองว่า “ที่รัก” เธอจึงคิดว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของฟู๋เชียนเชียน เธอก็เลยส่งข้อความไปทักทายในยามเช้าเป็นประจำ แถมยังส่งคำพูดหวานๆชวนเลี่ยนไปอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม ไม่เสียหายที่จะยอมรับ
“อ๋อ”
ซิงเฉินยิ้มตาหยีแล้วหันไปหาซิงกวงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “ได้ยินหรือยัง!”
“สิ่งที่แด๊ดดี้ของพี่พูดเป็นความจริงทั้งนั้น!”
“หม่ามี๊ของพี่ชอบแด๊ดดี้จริงๆ!”
มือที่กำลังกินข้าวของซิงกวงสั่นเล็กน้อย
วินาทีต่อมา สาวน้อยก็ไปคีบผักกาด แล้วยัดไปที่ปากของซิงเฉิน “กินข้าวดีๆ!”
ซิงเฉินพูดถึงครึ่งหนึ่งก็มีผักกาดยัดเข้าไปในปาก เด็กน้อยอึ้งไปทันที ไม่รู้ว่าควรกินผักเข้าไปแล้วพูดต่อ หรือคายผักทิ้งดี
หลังจากที่ตีกับความคิดของตัวเอง ซิงเฉินก็ตัดสินใจที่จะกินผักเข้าไปแต่โดยดี
เมื่อเห็นการโต้ตอบของซิงกวงและซิงเฉินแล้ว ภายในใจของซูสือเยว่ก็รู้สึกเต็มไปด้วยความอบอุ่น
นี่ถึงจะเป็นภาพของพี่ชายและน้องสาวที่เธอจินตนาการไว้
พูดตามจริง ในหลายๆครั้ง เธอยังเคยสงสัยว่า ซิงเฉินกับซิงกวงเป็นพี่น้องแท้ๆหรือเปล่า
เพราะในหลายๆครั้ง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนนั้นสนิทสนมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่า พวกเขาไม่ได้เพิ่งรู้จักกัน แต่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด
“หม่ามี๊”
ทันใดนั้น เสียงของซิงหยุนก็ดึงสติเธอกลับมา
ผู้หญิงได้สติกลับมา แล้วมองไปยังซิงหยุนที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง “ว่าไงคะ?”
ซิงหยุนคีบปลาให้เธอด้วยท่าทางที่สง่างาม “หม่ามี๊”
“หม่ามี๊กับแด๊ดดี้มีน้องสาวที่น่ารักเหมือนซิงกวงอีกคนดีไหมครับ?”
เด็กน้อยถามขึ้นอย่างจริงจัง สีหน้าของซูสือเยว่จึงแดงขึ้นมาทันที
เธอกัดริมฝีปาก แล้วพูดขึ้นเสียต่ำ “หม่ามี๊เคยรับปากลูกๆไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
แม้แต่สัญญาก็เซ็นแล้ว เธอจะหนีไปไหนได้?
มีลูกสาวกับฉินโม่หาน………
เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
นอกจากนี้ ช่วงนี้ฉินโม่หานก็ช่วยเหลือเธอเยอะมาก นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว เธอก็ไม่รู้จะตอบแทนเขายังไงแล้ว…….
“แด๊ดดี้ ได้ยินหรือยังครับ?”
ซิงหยุนหันไปกะพริบตาให้ฉินโม่หาน “หม่ามี๊ยินยอมแล้ว”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว ยังไม่เข้าใจความหมายของซิงหยุน ฉินโม่หานที่อยู่ข้างๆเธอก็วางตะเกียบลงแล้ว “เธอกินอิ่มหรือยัง?”
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงถามขึ้นแบบนี้ ทว่า เธอก็ตอบไปอย่างจริงจัง “อิ่มแล้ว”
“กินอิ่มก็ดีแล้ว”
ผู้ชายยืนขึ้นด้วยท่าทางที่สง่า แล้วเดินเข้าไปหาเธอ
เธอมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีบางอย่าง……..
ภายในใจของซูสือเยว่ราวกับมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น
ยังไม่ทันโต้ตอบอะไร เธอก็ถูกฉินโม่หานอุ้มขึ้นท่าเจ้าหญิง!
“อ๊ะ…….”
ในตอนที่ขาสองข้างลอยขึ้นจากพื้น เธอก็อุทานออกมาโดยสัญชาตญาณ
สองพี่น้องที่กำลังถกเถียงกันก็หยุดชะงัก แล้วมองไปยังซูสือเยว่ด้วยความตกใจ
ซูสือเยว่ถูกผู้ชายอุ้มไว้ในอ้อมอก ดวงตาใสๆสามคู่มองไปยังเธอพร้อมๆกัน
เธออายจนรีบซุกหน้าเข้าไปที่อกของฉินโม่หาน “ลูกๆก็อยู่ นายทำอะไรเนี่ย”
ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาพูดขึ้น
“ลูกชายของฉันสองคน กับสาวน้อยที่ตัวติดเธอทั้งวัน”
“อยู่ต่อหน้าพวกเขา มีอะไรน่าอายล่ะ?”
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “หรือว่า เธอกลัวว่าสาวน้อยจะไปรายงานจี้หนานเฟิง?”
“เธอชอบจี้หนานเฟิง?”
ซูสือเยว่:“……”
นี่มันเหตุผลอะไรเนี่ย?
เธอกัดริมฝีปาก และจงใจโกรธเขา “จี้หนานเฟิงเป็นความฝันของวัยรุ่นมากมาย การที่จะชอบเขาเป็นเรื่องปกตินี่นา ขนาดฟู๋เชียนเชียนยังชอบเขาเลย!”
“เขาชอบได้ แต่เธอชอบไม่ได้”
ผู้ชายใช้ขาเตะประตูห้องนอนออก
วินาทีต่อมา ซูสือเยว่ก็ถูกวางลงบนเตียงใหญ่ที่นุ่ม
ร่างกายที่แข็งแรงของผู้ชายก็กดทับลงไป “ต่อไปนี้ ในใจของเธอและในสายตาของเธอ ต้องมีแค่ฉัน”
คำพูดที่เอาแต่ใจนี้ ทำให้ซูสือเยว่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปาก แล้วสบตากับฉินโม่หานอย่างแพ้ไม่ได้ “ในใจและในสายตาของฉันสามารถมีแค่นายได้”
“แล้วนายล่ะ?”
“ในใจและในสายตาของนายก็มีแค่ฉันคนเดียวใช่ไหม?”
เธอถามกลับอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้ฉินโม่หานยกยิ้มมุมปาก
ยัยบื้อนี้ เรียนรู้ที่จะโต้ตอบกลับแล้ว
เขาเอามือขึ้นไปจับกรามของเธอ ให้เธอมาสบตากับเขา
ดวงตาที่ลึกไร้ก้นบึ้งของผู้ชายนั้น ราวกับจะดูดซูสือเยว่เข้าไปทั้งตัว “เธอคิดว่าไงล่ะ?”
วินาทีต่อมา มือของผู้ชายก็จับไปที่ท้ายทอยของเธอ จากนั้นก็กดจูบลงไป
เขาจูบไปทั่วทุกตารางนิ้วของผิวเธออย่างเอาแต่ใจ และสุดท้าย มือหนาก็หยุดอยู่ที่เอวบางของเธอ “ซูสือเยว่”
เธอถูกเขาจูบจนสติหลุด และสมองก็พร่ามัวไปหมด
เมื่อได้ยินเขาเรียกชื่อเธอ เธอจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “หืม?”
ความอ่อนโยนราวกับสายน้ำนี้ ทำให้สติเส้นบางๆของฉินโม่หานนั้นขาดไปโดยสมบูรณ์
เขากัดไปที่ติางหูของเธอ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำข้างๆหูเธอ “เธอนั้นหวานกว่าน้ำผึ้งเสียอีก”
พูดจบ สิ่งที่ต้อนรับซูสือเยว่คือ ศึกหลวง
การทรมานและเพลิดเพลินร่วมกัน
ในตอนที่กำลังเสพสมกันอย่างเพลิดเพลิน เธอก็กอดคอของเขาแน่น จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยว่า “ทำไม นายถึงชอบบอกว่าฉันหวานล่ะ?”
ในความทรงจำลางๆ เธอจำได้ว่าเคยมีคนพูดกับเธอแบบนี้
“เพราะว่า”
เขาจูบไปที่ไหปลาร้าของเธอ “สิ่งที่หวาน จะทำให้คนจดจำได้ดี”
ในชีวิตนี้ ฉินโม่หานเคยมีอะไรกับผู้หญิงแค่สองคน
คนแรกคือ คนที่มีอะไรด้วยเมื่อห้าปีก่อน
วันนั้นเขาดื่มเหล้าที่โดนวางยาเข้าไป แล้วเข้าไปในห้องของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ทำกิจกรรมและอ้อยอิ่งไปทั้งคืน
เธอทิ้งเขาไว้กับลูกชายสองคนและเสียชีวิตไป
อีกคนหนึ่งก็คือ ห้าปีต่อมา ซูสือเยว่ที่กำลังอยู่ใต้ร่างเขา
ผู้หญิงสองคน แม้จะไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่า ความรู้สึกที่ให้เขานั้นเหมือนกัน
หวาน อ่อนโยน ทำให้ผู้คนจดจำและยากที่จะลืม