ในตอนที่ซูสือเยว่ดูรายชื่อ จี้หนานเฟิงก็ชะโงกหน้าเข้ามาดู
เขามองแวบเดียวก็รู้ที่มาที่ไปแล้ว
มุมปากของผู้ชายยกยิ้มเยาะเย้ย “ดูท่าแล้ว ใครบางคนจะไม่วางใจกับคุณซูนะครับ”
พูดจบ เขาเหลือบไปมองซูสือเยว่อย่างลึกซึ้ง “คุณซู คุณคิดว่าไงครับ?”
ซูสือเยว่ยิ้มแห้ง “แล้ว….คุณจี้คิดว่าไงล่ะคะ?”
เธอนั้นจะเป็นนักแสดงต่อไป ในอนาคต เรื่องจูบเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
และ การเลี่ยงที่จะจูบนั้น ในหลายๆแง่มุม มันดูเหมือนไม่เป็นมืออาชีพ
“ไม่เป็นไรครับ ได้หมด”
จี้หนานเฟิงยิ้มเล็กน้อย “ผมอยากจะดูว่า คุณชายผู้นี้ จะเป็นสตั๊นท์แมนของผมยังไง?”
ใบหน้าและสันกรามของฉินโม่หานนั้นคมกว่าเขามาก
ถึงจะโผล่สันกรามมาแค่เล็กน้อย ก็น่าจะดูออกว่าเป็นสตั๊นท์แมน
เขาอยากจะรู้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นฉินโม่หานจะยุติมันอย่างไร
ซูสือเยว่รู้สึกถึงความสิ้นหวัง
ถ้าจี้หนานเฟิงปฏิเสธ เธอยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวฉินโม่หาน
ตอนนี้ยังดี……..
“ในเมื่อนักแสดงชายยอดเยี่ยมไม่ได้คัดค้าน เรื่องนี้ก็เอาตามนี้เลยนะครับ”
หลังจากนั้นผู้กำกับเฉิงพูดอะไรบ้าง ซูสือเยว่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเฉื่อยชา ทำเพียงพยักหน้าและส่ายหัวเหมือนกับหุ่นเชิด
ในสมองของผู้หญิงมีแค่เรื่องที่ฉินโม่หานเป็นสตั๊นท์แมนจูบแทน………..
ฉินโม่หานเป็นสตั๊นท์แมนจูบแทน ก็จะทำให้คนทั้งกองเห็นเธอจูบกับเขาไม่ใช่เหรอ?
ไม่ๆๆ ไม่ใช่คนทั้งกอง!
แต่เป็นทุกคน!
เมื่อหนังได้ฉาย ทุกคนก็จะเห็นฉากนั้น!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เธอเอามือขึ้นแตะแก้มที่ร้อนผ่าวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
วันนี้ซวยจริงๆเลย!
ก่อนหน้านี้เธอก็พอรู้ว่าในหนังเรื่องนี้มีฉากจูบ และรู้ว่าฉากจูบนั้นต้องเล่นกับจี้หนานเฟิง
ทว่า ตอนนั้นเธอคิดแค่ว่าทุกอย่างมันเป็นงาน ในใจไม่ได้คิดหรือหวั่นไหวอะไรเลย!
มาวันนี้ คนที่ต้องจูบกับเธอนั้นเปลี่ยนเป็นฉินโม่หาน
ทำไมเธอถึงตื่นเต้นและเขินแบบนี้ล่ะ?
น่าอายจริงๆเลย!
“โอเค วันนี้ก็พอแค่นี้ แยกย้ายได้ครับ!”
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน คำพูดของผู้กำกับเฉิงก็ดึงสติของเธอกลับมา
ผู้หญิงลุกขึ้นและออกไปพร้อมกับคนอื่นอย่างเหม่อลอย
“จึๆๆ อึ้งไปเลยเหรอ?”
เมื่อออกจากห้องประชุม เหลียงหยูซินก็อดไม่ได้ที่จะมาเยาะเย้ย “สีหน้าไม่ดีขนาดนั้น เป็นเพราะรู้เรื่องที่จะใช้สตั๊นท์แมนจูบแทนสินะ?”
หยางชิงโยวดึงข้อมือของเธอไว้ “คนอื่นอาจจะกำลังอึดอัดหรือไม่สบายใจ เธออย่าไปพูดมั่วสิ”
“ก็ฉันพูดความจริงนี่”
เหลียงหยูซินทำหน้ามีความสุข “บางคนยังไม่รู้ตัวในสถานะของตัวเองสินะ”
“คิดว่าได้รับบทนางเอก และได้เล่นคู่กับจี้หนานเฟิง ก็จะได้จูบกับจี้หนานเฟิงเหรอ คิดว่าได้เลื่อนสถานะแล้ว?”
“ฝันไปเถอะ”
ในตอนที่พูด เธอยิ้มแล้วเดินเข้ามา และมองซูสือเยว่ด้วยสายตาที่เย่อหยิ่ง “เป็นไงล่ะ ตอนนี้ต้องมาจูบกับสตั๊นท์แมนแทน”
“ไม่แน่ คนๆนั้นอาจจะเป็นลุงอ้วนอายุหกเจ็บสิบก็ได้”
“ซูสือเยว่ ขอให้คุณโชคดีนะ”
พูดจบ เหลียงหยูซินก็เดินออกไปอย่างได้ใจ
ซูสือเยว่มองดูแผ่นหลังของเธอ ไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรออกไปดี
“สือเยว่ คุณอย่าโกรธไปเลย”
หยางชิงโยวที่อยู่ข้างๆยิ้มเจื่อน เดินเข้ามาอย่างนุ่มนวลและเอาผมของซูสือเยว่ไปทัดหลังหูของเธอ “เธอก็เป็นแบบนี้แหละ พูดตรงไปตรงมา คิดยังไงก็พูดออกมา แต่จริงๆแล้วเธอไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ”
ซูสือเยว่พยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ”
หยางชิงโยวมองดูเธอ เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงโทรศัพท์ของซูสือเยว่ก็ดังขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
ซูสือเยว่ยิ้มให้กับหยางชิงโยว จากนั้นก็หันไปรับโทรศัพท์
เป็นสายจากลั่วชิงเจ๋อ
“ขอบคุณมากนะ เรื่องทุกอย่างสมบูรณ์แบบมากเลย”
“คนชั่วย่อมมีความชั่วร้ายของตน”
เห็นได้ชัดว่า เขานั้นรู้เรื่องที่ซูโม่เข้าโรงพยาบาลจิตเวชแล้ว
“จะมาพูดคำขอบคุณอะไรกับฉันล่ะ”
ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมายาวๆ “สิ่งที่ฉันทำได้ ก็มีแค่นี้แหละ”
ที่จริง คืนวันที่ลั่วเยียนเกิดเรื่อง ถ้าเธอระวังมากกว่านี้ เรื่องทั้งหมดก็อาจจะไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้
ตอนนี้ซูโม่เข้าโรงพยาบาลจิตเวชออกมาไม่ได้ ส่วนเย่เชียนจิ่วหนีออกไปนอกประเทศไม่กบ้ากลับมา
นี่ไม่ใช่บทสรุปที่ดีที่สุด
แต่เธอพยายามที่สุดแล้ว
“พวกเราจะไปกันแล้ว”
ลั่วชิงเจ๋อถอนหายใจออกมา “รถไฟเที่ยวบ่ายสามโมง เธอจะมาส่งเราไหม?”
“ที่เมืองหรงเราก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้ว”
“ถึงแม้ฉินหนานเซิงจะมาส่งพวกเรา แต่ว่าพ่อของฉันไม่อยากเจอเขา”
ซูสือเยว่เหลือบดูเวลา เหลือเวลาอีกสามชั่วโมง
“ฉันจะไปส่งพวกนาย”
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ส่งที่อยู่มาให้ฉันหน่อย”
“ช่างเถอะ”
ลั่วชิงเจ๋อที่อยู่ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม “เธอก็มีเส้นทางชีวิตของตัวเอง เธอสามารถช่วยตระกูลลั่วของเราได้ถึงขนาดนี้ พวกเราก็ซาบซึ้งมากแล้ว”
“ครั้งก่อนเธอถามฉันว่า ลู่จื่อเหยาขโมยอะไรของพี่สาวฉันไปใช่ไหม?”
“ฉันได้เขียนจดหมายไว้ให้เธอ ฉันฝากมันไว้ที่เค้าน์เตอร์โรงแรมที่พวกเราเคยอยู่ เธอแค่ไปแจ้งชื่อก็ได้แล้ว”
“เธอจะได้คำตอบแน่นอน”
พูดจบ ลั่วชิงเจ๋อกับซูสือเยว่ก็พูดเรื่องของลั่วเยียนอีกนิดหน่อย จากนั้นก็วางสาย
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ รอบข้างของซูสือเยว่ก็ไม่มีคนแล้ว
ผู้คนที่อยู่รอบตัวเธอเพื่อจะดูเรื่องตลกในตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าจากไปตั้งแต่ตอนไหน
ผู้หญิงหายใจเข้าลึกๆ ยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็ไปเรียกรถ แล้วมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่คนตระกูลลั่วเคยอยู่
หลังจากที่แจ้งชื่อที่เค้าน์เตอร์ ซูสือเยว่ก็ได้รับจดหมายที่ลั่วชิงเจ๋อเขียนไว้ให้กับเธอ
ที่จริง ในซองจดหมายไม่มีเนื้อหาอะไรเลย มีเพียงรูปไม่กี่ใบ
รูปแรก เป็นรูปจดหมายที่ถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกรูปเป็นจดหมายที่สมบูรณ์แบบเต็มฉบับ
จดหมายทั้งสองมีเนื้อหาเหมือนกัน
แค่ฉบับที่โดนเผา สวยและมีระเบียบมากกว่า
ที่ลงนามในจดหมาย เป็นชื่อของลั่วเยียน
และจดหมายที่สมบูรณ์แบบเต็มฉบับนั้น มีการขีดเขียนเยอะมาก ที่ลงนามในจดหมาย เป็นขื่อของลู่จื่อเหยา
ซูสือเยว่อึ้งไป เหลือบมองผู้รับจดหมายอย่างไม่รู้ตัว
เป็นฉินหนานเซิง
เธอกำรูปในมือแน่น ในใจรู้สึกสับสนไปหมด
ฉินหนานเซิงเคยบอกว่า เขาและลู่จื่อเหยานั้น คุยกันผ่านจดหมายเพื่อรักษาความสัมพันธ์
ก็หมายความว่า จดหมายเหล่านี้ ลั่วเยียนเป็นคนเขียน และลู่จื่อเหยานำมันมาเขียนใหม่ แล้วเผาจดหมายของลั่วเยียนทิ้ง?
นี่เป็นสิ่งที่ลั่วชิงเจ๋อพูด สิ่งที่ลู่จื่อเหยาขโมยไป เป็นของสำคัญของลั่วเยียน?
แต่ทำไมซูสือเยว่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ
ในเมื่อฉินหนานเซิงกับลั่วเยียนคุยกันผ่านจดหมายตลอด เมื่อถูกปลอมตัวโดยลู่จื่อเหยา ถ้าเช่นนั้น จดหมายของฉินหนานเซิงก็คงจะส่งไปหาลู่จื่อเหยา แล้วลั่วเยียนรู้เนื้อหาของจดหมายได้ยังไง?
ท้ายที่สุด เธอก็อดไม่ได้ที่จะโทรหาลั่วชิงเจ๋อ
“เพราะว่าจดหมายตอบกลับที่พี่สาวฉันเขียนออกมา ก็เพื่อให้ลู่จื่อเหยามาคัดเขียนด้วยลายมือตัวเอง”
ลั่วชิงเจ๋อที่อยู่ปลายสายถอนหายใจออกมา “เธอรู้ไหมว่าลู่จื่อเหยาป่วยหนักไหม”
“อาการป่วยของเขาไม่มียารักษา ถึงแม้พ่อแม่ของฉันจะเลี้ยงดูเขามา แต่ว่า ไม่สามารถเอาเงินออกมารักษาให้เขาได้จริงๆ”
“เขาก็เลยขอร้องพี่สาวฉันเรื่องที่เกินไปมากเรื่องหนึ่ง”