ซูสือเยว่หน้าแดงขึ้นมาทันที
เธอก้มหน้า แล้วก็ค่อยๆ กินอาหารเช้าอย่างระมัดระวัง “ฉันก็ไม่ได้คิดว่า ด้านนอกจะมีคนอยู่เยอะขนาดนั้น……”
“อืม เป็นความผิดของฉันเองแหละ”
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ แล้วก็ยื่นนมอุ่นๆ ให้กับเธอ “ต่อไปฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว”
“ดังนั้น ต่อไปคุณนายฉินพูดกับฉันแบบนี้อีกหลายๆ ครั้งก็ได้นะ”
“ฉันชอบมากเลย”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ใบหน้าของซูสือเยว่ไหม้จนเหมือนถ่านไฟ
มือของเธอที่ถือตะเกียบอยู่นั้นเริ่มสั่นเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “แล้วพวกเขามาหานายแต่เช้าขนาดนี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ? ”
“มาหารือกันเรื่องของลั่วเยียนน่ะ”
ฉินโม่หานคีบผักให้ซูสือเยว่ด้วยท่าทีที่สง่างาม “ไป๋ยู่หนานกับหานหยุนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ หนานเซิงเรียกเขามาก็เพราะว่าจะปรึกษาเรื่องอาการของลั่วเยียน”
ซูสือเยว่ชะงักไป “หนานเซิง……ดีกับลั่วเยียนมากเลยนะ”
“อืม”
ฉินโม่หานพยักหน้า “ยังไงลู่จื่อเหยาก็เคยบอกหนานเซิงก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ว่าเธอติดหนี้ลั่วเยียนเยอะมาก หวังว่าเขาจะช่วยชดใช้ให้ลั่วเยียนแทนเธอ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือปกป้องเธอไปตลอดชีวิต”
“ตอนแรกนั้น หนานเซิงแค่เห็นลั่วเยียนเป็นน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น ใครจะไปนึกว่า หลังจากนั้นลั่วเยียนต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ได้”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก “งั้น……ตอนแรกลู่จื่อเหยาไม่ได้พูดเหรอว่าเธอติดหนี้ลั่วเยียนเรื่องอะไร? ”
“ไม่มีนะ”
ฉินโม่หานส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็ยกมือลูบผมที่อ่อนนุ่มของเธอ “ทำไมจู่ๆ ถึงได้ใส่ใจลู่จื่อเหยานักล่ะ? ”
“เธอเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานมากแล้ว หลายๆ เรื่องฉันก็จำได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่”
“ ถ้าอยากรู้รายละเอียด เธอก็ไปถามหนานเซิงก็ได้นะ”
ซูสือเยว่ก้มหน้ากัดขนมปัง “ถามเขาก็เหมือนถามเปล่า”
เจ้าโง่คนนั้น เชื่อในคำพูดของลู่จื่อเหยา100%เลย ไม่ว่าลั่วชิงเจ๋อกับลั่วเยียนจะพิสูจน์ยังไง เขาก็ไม่เชื่อ แถมยังสงสัยในบุคลิกนิสัยของลั่วเยียนอีกต่างหาก
คนประเภทนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลั่วเยียนชอบเขาล่ะก็ เธอล่ะอยากจะอวยพรให้เขาอ้างว้างไปตลอดชีวิตจริงๆ!
“ถ้างั้นตอนนี้อย่าพึ่งไปคิดเรื่องของพวกเขาเลย”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดู “รีบกินเร็ว กินเสร็จแล้วจะได้กลับบ้านไปเก็บของ ต้องไปอยู่ที่กองถ่ายแล้วนะ”
ซูสือเยว่พยักหน้า กำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “นายรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ฉันจะย้ายไปอยู่ที่กอง? ”
เธอจำไม่ได้ว่าเธอบอกฉินโม่หานตอนไหนนะ
“เพราะว่าฉันก็เป็นนักแสดงในกองเหมือนกันไง”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วก็ขยิบตาให้เธอ
ซูสือเยว่:“……”
อ้อ ใช่ เธอเกือบลืมไป ฉินโม่หานจะมาจูบแทนจี้หนานเฟิงนี่
เธอทำปากมุ่ย “แล้วนายต้องไปอยู่ที่กองด้วยงั้นเหรอ? ”
“แน่นอนสิ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าเกิดว่าฉันไม่อยู่ด้วยที่กอง จะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่จะมีฉากจูบ แล้วจะได้ไปได้ทันทีล่ะ? ”
ซูสือเยว่:“……”
เธอเม้มปาก “ทำไมนายต้องแคร์ขนาดนั้นกัน”
“ฉันกับจี้หนานเฟิงแค่จูบกันก็ไม่ได้จะมีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย”
ชายหนุ่มเติมนมให้เธอเพิ่มด้วยท่าทางที่สง่า “ฉันแคร์”
“ผู้หญิงของฉัน ห้ามผู้ชายคนไหนแตะต้อง”
เขาพูดอย่างนุ่มนวลและสง่างาม แต่ว่าความเผด็จการในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้ซูสือเยว่รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
มีบางทีก็ต้องยอมรับว่า เมื่อผู้ชายที่คุณชอบแสดงความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างแรงกล้านั้น……ที่จริงแล้วมันก็เป็นความสุขที่มากโขเลย
เธอกัดริมฝีปาก “ถ้ายังงั้นก็ถือว่าตกลงกันแล้วนะ นายแค่ไปจูบแทนจี้หนานเฟิงก็เธอ อย่างอื่นห้ามทำ โอเคไหม? ”
ฉินโม่หานยิ้มอย่างชั่วร้าย “‘อย่างอื่น’ที่คุณนายฉินพูด มันหมายถึงอะไรเหรอ? ”
เมื่อถูกชายหนุ่มมองด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ซูสือเยว่ก็พูดอย่างตะกุกตะกัก “ก็……ก็อย่างเรื่องเมื่อคืนนี้ ห้ามทำในกอง!”
“อ้อ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “นี่เธอเตือนฉันเลยนะเนี่ย”
“เดี๋ยวฉันจะให้ ไป๋ลั่วไปจัดการเพิ่มที่เก็บเสียงที่โรงแรมของกอง”
ซูสือเยว่:“……”
เขาพูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ราวกับว่าเตรียมจะโทรออก
ซูสือเยว่ร้อนรน เธอรีบวางตะเกียบลงแล้วแย่งโทรศัพท์เขามา “อย่านะ!”
มันน่าอายเกินไป!
จะให้ไป๋ลั่วไปเพิ่มอุปกรณ์เก็บเสียงอะไรกัน น่าอายจริงๆ!
“ทำไมอย่าล่ะ?”
ฉินโม่หานยื่นมือไปจับเอวที่ผอมเรียวของเธอ แล้วก็กอดเธอไว้กับตัวเขา ลมหายใจของชายหนุ่มที่อบอุ่นและดุดันแผ่ซ่านเข้ามาที่จมูกของเธอ “เธอไม่รักฉันเหรอ? ”
ซูสือเยว่หัวโล่ง นี่มันคำถามอะไรกัน?
การไม่อยากจะทำเรื่องแบบนี้กับเขาที่โรงแรมของกองถ่ายนั้น เท่ากับไม่รักเขายังงั้นเหรอ?
พอเห็นว่าเธอไม่ตอบ ต่อหน้าเธอ ฉินโม่หานก็หาเบอร์ของไป๋ลั่วในโทรศัพท์เจอ แล้วก็กดโทรออก
!!!
ซูสือเยว่แย่งโทรศัพท์เขากลับมาแล้วรีบกดตัดสาย “นายอย่าเป็นแบบนี้สิ!”
ฉินโม่หานถอนหายใจอย่างเศร้าหมอง “ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รักฉันจริงๆ ”
หญิงสาวปฏิเสธอย่างสุดแรง “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันเปล่าซะหน่อย!”
ดวงตาที่ลึกซึ้งของชายหนุ่มจับจ้องมาที่เธอ “ไม่ได้หมายความว่าแบบไหน เปล่าอะไรกัน? ”
ภายใต้สถานการณ์ที่วิตกกังวลนั้นสมองของเธอก็ขาดการควบคุม ซูสือเยว่โพล่งออกไปทันที “ไม่ได้ไม่รักนายสักหน่อย!”
ฉินโม่หานมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “พูดอีกรอบซิ”
แล้วซูสือเยว่ก็พูดทวนอีกครั้งอย่างซื่อบื้อ “ฉันไม่ได้ไม่รักนาย!”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ มือทั้งสองโอบรอบเอวของเธอ แล้วก็ดึงเธอเข้ามาหาเขา “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอรักฉัน”
ซูสือเยว่อึ้งไป ถึงได้ตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองได้พูดอะไรออกไป
หน้าเธอก็แดงขึ้นมาทันที!
ยังไม่ทันจะได้ไตร่ตรองอะไร เธอก็ถูกชายหนุ่มกดลงบนเตียงอีกครั้ง
เธอเริ่มต่อสู้ “ทำไมถึงได้เริ่มอีกแล้วล่ะ? ”
“เพราะว่าเมื่อกี้ภรรยาตัวน้อยของฉันสารภาพรักกับฉันน่ะสิ
ซูสือเยว่:“……”
ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกหลอกล่ะ?
ซูสือเยว่ถูกฉินโม่หานจัดการจนถึงบ่าย กว่าจะมีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะลงจากเตียงได้
สุดท้าย ฉินโม่หานก็ติดต่อให้ฟู๋เชียนเชียนเก็บของให้เธอ แล้วก็ไปส่งเธอที่โรงแรมด้วยตัวเอง
“สือเยว่ มีความสุขเชียวนะ!”
นั่งอยู่บนรถของโรงแรม ฟู๋เชียนเชียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วก็เอาไหล่กระแทกซูสือเยว่เบาๆ
ซูสือเยว่กลอกตาใส่เธอ “ฉันหวังว่าจะมีวันหนึ่งที่เธอสามารถมีความสุขได้แบบนี้เหมือนกัน”
“ ฮี่ๆๆ อยากใจจะขาดอยู่แล้ว!”
ฟู๋เชียนเชียนห้วเราะคิกคักและนั่งพิงเบาะหลัง “แต่ว่าตอนนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เหมาะสมกับฉันเลย!”
“นอกจากจี้หนานเฟิงแล้วก็ไม่เข้าตาฉันทั้งนั้นแหละ!”
ซูสือเยว่มองเธอเงียบๆ “อยากให้ฉันจับคู่ให้เธอกับจี้หนานเฟิงไหม? ”
ฟู๋เชียนเชียนยักไหล่ “ช่างเถอะ”
“ฉันดูออก ว่าคนที่จี้หนานเฟิงชอบก็คือเธอ”
“ฉันน่ะ ไม่บังคับฝืนใจคนอื่นหรอก”
ซูสือเยว่กลอกตา “เขาจะไปชอบฉันได้ยังไง? ”
ทำไมฉันถึงไม่คิดแบบนั้น?
ฟู๋เชียนเชียนมองบนใส่เธอ “ในสายตาของเธอเนี่ย นอกจากฉินโม่หานแล้วยังมีผู้ชายคนอื่นอยู่บ้างไหม? ”
ซูสือเยว่พยายามคิดอย่างจริงจัง “เหมือนจะไม่มีนะ”
“งั้นก็จบแล้ว!”
รถมาถึงแล้ว ฟู๋เชียนเชียนลากกระเป๋าลงจากรถให้ซูสือเยว่ แล้วก็หยอกเธอ “ฉันยังรู้เลยว่าทำไมท่านชายฉินถึงมารับบทจูบแทน”
“สิ่งที่แม้แต่ท่านชายฉินยังมองออก แต่ว่าเธอกลับมองไม่ออก ซูสือเยว่ นอกจากว่าหัวเธอนั้นมีแต่ท่านชายฉิน ก็เลยมองไม่เห็นความดีของผู้ชายคนอื่น แล้วจะให้ฉันพูดอะไรได้อีก? ”
ซูสือเยว่:“……”
เธอเป็นแบบนั้นเหรอ?
“เธอเป็นแบบนั้นแหละ”
หลังจากที่ฟู๋เชียนเชียนพาซูสือเยว่ไปเช็กอินเสร็จแล้ว ก็ลากกระเป๋าและพาซูสือเยว่ไปขึ้นลิฟต์ “แต่ว่าพูดตามจริง ฉันกลับรู้สึกว่าเธอกับเจ้าชายแห่งวงการบันเทิงจี้นั้นเหมาะสมกันมากเลย ถ้าเกิดว่าพวกเธอคบกัน ฉันเองก็คงจะมีความสุขมากแน่ๆ ”
“แต่น่าเสียดาย……”
“น่าเสียดายที่ เจ้าชายแห่งวงการบันเทิงจี้ไม่ได้มองเธออยู่ในสายตา!”
ฟู๋เชียนเชียนยังไม่ทันจะพูดจบ ก็มีเสียงที่เย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาตัดบทเธอ
ซูสือเยว่หันหน้าไปดูโดยอัตโนมัติ
ในลิฟต์นั้นเหลียงหยูซินกับหยางชิงโยวกำลังยืนอยู่ด้านในพอดี
เหลียงหยูซินปรายตามองซูสือเยว่ด้วยสายตาที่เย็นชา “ได้นายทุนคนไหนมาถึงได้ปีนขึ้นมาเล่นหนังเรื่องนี้ได้ก็ไม่รู้ แล้วก็ยังเล่นเป็นคู่แข่งเจ้าชายแห่งวงการบันเทิงจี้อีก แต่แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกแล้วรึไง? ”
“ดูถูกความสามารถกันเกินไปแล้ว!”
พอเผชิญหน้ากับเหลียงหยูซิน ฟู๋เชียนเชียนก็เริ่มโมโหขึ้นมาทันที “ฉันกับเพื่อนรักก็แค่คุยกระซิบกระซาบกัน เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย? ”
ซูสือเยว่เม้มปาก ยกมือขึ้นมาดึงฟู๋เชียนเชียนเอาไว้ แล้วก็ส่งสัญญาณให้เธอเบาเสียง “พวกเราขึ้นลิฟต์เที่ยวต่อไปเถอะ”
ทนไม่ได้ก็หลบเลี่ยงเอาแล้วกัน
หนังยังไม่ทันจะเปิดกล้อง เธอยังไม่อยากจะไปขัดแย้งกับใครในตอนนี้
แต่ว่าพวกเธอยังไม่ทันจะได้ออกไป หยางชิงโยวที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นก็กดปุ่มปิดลิฟต์ แล้วก็กดเลขขึ้น
“หยูซิน เธออย่าพูดอะไรที่มันแย่นักเลย สือเยว่พึ่งจะเริ่มแสดงหนังก็ได้รับการสนับสนุนแบบนี้แล้ว จะภูมิใจหน่อยก็เป็นเรื่องปกตินะ”
พอพูดจบ เธอก็มองซูสือเยว่นิ่งๆ “เธอเองก็ไม่ต้องเก็บคำพูดของหยูซินไปใส่ใจเลยนะ เธอมีนิสัยตรงๆ พอเห็นว่าเธอมีทุนดีกว่า ก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ยุติธรรมน่ะ”
ซูสือเยว่หรี่ตา
คำพูดของหยางชิงโยวนี้ ดูเหมือนจะปลอบโยนเหลียงหยูซิน แล้วก็ปลอบใจเธอด้วย แต่ความจริงแล้วนั้น ทุกคำของเธอ มันเป็นการสาดน้ำมันใส่เปลวเพลิง