เมื่อเห็นเนื้อหาที่อยู่ในโทรศัพท์แล้ว ซูสือเยว่ขมวดคิ้วเอาไว้แน่น
เธอรู้ว่าเย่เชียนจิ่วจงใจพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา เพื่อต้องการที่จะกระแทกแดกดันเธอ
มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลายครั้งนักที่อยากจะตอกกลับอะไรไปบ้าง จนพิมพ์ข้อความลงไปแล้วและก็ลบทิ้งไปแล้วหลายครั้ง
สุดท้ายแล้ว เธอก็ค้นพบว่าตอนนี้ราวกับว่าเธอไม่มีหลักฐานและไม่มีคุณสมบัติพอที่จะโต้ตอบเธอได้เลย
เพราะในสิ่งที่เย่เชียนจิ่วพูดออกมานั้นมันเป็นความจริงทั้งหมด
ฉินโม่หานรู้สึกละอายใจกับแม่ของซิงหยุนและซิงเฉินจริงๆ และอยากจะชดใช้คืนตั้งหลายครั้ง
ดังนั้น … เธอเป็นแค่ตัวแทนจริงๆ ใช่ไหม?
ซูสือเยว่ส่ายหน้าไปมา
เธอไม่เชื่อ
“หม่ามี๊!”
เวลานี้เอง ด้านหน้าประตูเริ่มมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “กินข้าวได้แล้วนะ!”
“แด๊ดดี้พูดว่า ถ้าหม่ามี๊ไม่ลงไป พวกเราก็ไม่สามารถกินข้าวก่อนได้”
“เพื่อปากท้องของลูกชายสุดที่รักทั้งสองคน หม่ามี๊รีบลงไปกินข้าวเร็วเข้า!”
เสียงเด็กน้อยดังชัดเจนอยู่ด้านนอก จนทำให้อารมณ์ของซูสือเยว่ค่อยๆ กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ
เธอขมวดคิ้วเอาไว้ พร้อมทั้งเอาข้อความของเย่เชียนจิ่วทั้งหมดลบทิ้งไป
ทำไมต้องไปสนใจที่ผู้หญิงพรรค์นี้พูดอะไรออกมาด้วย?
เป้าหมายที่แท้จริงของเธอ ก็คืออยากเห็นเธอกับฉินโม่หานขัดเคืองกัน และเลิกกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?
เธอไม่เล่นตามเกมของนางที่วางไว้หรอก
หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเปิดประตู
ด้านนอก ซิงเฉินลูบท้องอย่างโอเวอร์ทันที “หม่ามี๊ ในที่สุดหม่ามี๊ก็ออกมาแล้ว!”
“ถ้าหม่ามี๊ไม่ยอมออกมา ลูกชายสุดที่รักของหม่ามี๊ก็จะหิวจนไส้แห้งตายไปแล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องเข้าเจ้าเด็กแสบแล้ว ซูสือเยว่ที่เพิ่งจะโดนเย่เชียนจิ่วแขวะมาจนทำให้ไม่สบอารมณ์พลันมลายให้ไปทันที
เธอคุกเข่าลงและอุ้มซิงเฉินเดินลงไปชั้นล่าง “ปกติลูกก็กินเยอะอยู่แล้ว จะหิวสักมื้อหนึ่งก็คงไม่ตายหรอก”
ซิงเฉินยู่ปาก ทำหน้าบ่นเป็นหมีกินผึ้งตอนที่จ้องมองมายังซูสือเยว่ “ดังนั้นหม่ามี๊ก็อยากจะทำให้ผมตายไปจริงๆ เหรอ”
“ตามสภาพของร่างกายแล้ว ถ้าลูกจะหิวจนตายความจริงมันก็ยากมากเลยแหละ”
บนโต๊ะอาหาร ซิงหยุนในมือกำลังนั่งอ่านหนังสือ《กายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ 》และเอ่ยปากพูดไปด้วย “ถ้าอยากจะตายจริงๆ ก็ต้องจัดการกับไขมันที่อยู่บนตัวของนายซะก่อน”
ซิงเฉิน “…..”
“นี่พี่นายกำลังพูดว่าฉันอ้วนอยู่นะ!”
“ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง”
“ใช่ พี่ซิงหยุนเขาพูดไปตามความจริง!”
ซิงกวงน้อยที่นั่งมัดผมทรงหางม้าที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบพูดตอบทันที “พี่ซิงเฉิน ต่อไปพี่ต้องกินให้น้อยลงหน่อย แบบนี้ก็จะได้หิวตายง่ายขึ้น!”
ซิงเฉิน “…”
เขารู้สึกว่าตนเองถูกหมายหัวเข้าซะแล้ว
เจ้าเด็กน้อยเลยเบะปากด้วยความหงุดหงิดใจ “ฉันก็แค่พูดล้อเล่นกับหม่ามี๊เท่านั้นเอง”
ซิงหยุนเงยหน้าจ้องมองเขาตามปกติ “ฉันก็แค่ล้อเล่นกับนายเท่านั้นเอง”
ซิงกวงยื่นมือเล็กๆ ออกมา และทำท่ายกมือขึ้น “ฉันก็ด้วยค่ะ!”
ซิงเฉิน “…”
ก็ได้ เขาโดนหมายหัวจริงๆ แล้ว
เด็กน้อยลงมาจากอ้อมอกของซูสือเยว่อย่างอึดอัด จากนั้นก็ปีนขึ้นไปยังที่นั่งบนเก้าอี้ของเขาเอง จากนั้นก็เริ่มลงมือกินอย่างหน้ามุ่ย “เพื่อจะได้ไม่หิวตาย ฉันก็ต้องกินเยอะๆ หน่อย!”
เมื่อเห็นท่าทางลูกชายของตนเองที่ใสซื่อ ฉินโม่หานได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
ชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองซูสือเยว่ “นอนเต็มอิ่มหรือยัง?”
ซูวือเยว่พยักหน้าเล็กน้อย “อืม”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำ “เมื่อคืนคุณเหนื่อยขนาดนั้น ผมยังคิดว่าคุณจะนอนอีกสักงีบต่อ”
“แคร่กแคร่ก–!”
ซิงเฉินกระแอมออกมาเบาๆ “แด๊ดดี้ เด็กๆ อย่างพวกเรายังนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่นะ”
ฉินโม่หานเหลือบตามองเขา “ตอนนี้รู้แล้วเหรอว่าพวกนายยังเป็นเด็กอยู่?”
“เมื่อคืนตอนที่ทำวิดีโอออกมาจากฉันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำไมไม่เห็นรู้เลยว่าพวกนายเป็นเด็กน้อยกันอยู่?”
ซิงเฉินกระแอมเล็กน้อย พลันเงยหน้าสบตาซิงหยุน แต่ไม่พูดอะไร
เมื่อได้ยินว่าฉินโม่หานเอ่ยเรื่องวิดีโอเมื่อคืนนี้ ในที่สุดอารมณ์ที่อึมครึมของซูสือเยว่ก็คลายเป็นความสดใสขึ้นมาแล้ว
เธอหัวเราะเบาๆ ออกมา “ฉันรู้สึกว่าวิดีโอนั่นมันยัง….น่าสนใจมาก”
“รู้สึกว่าน่าสนใจ”
ฉินโม่หานใช้สายตาไร้ซึ่งความหมายคู่นั้นเหลือบมองเธอเล็กน้อย “เช่นนั้นต่อไปคุณก็ใช้วิธีนี้ สารภาพรักกับผมเหรอ?”
ซูสือเยว่ “….”
เธอเลือกตายไปเลยดีกว่า
หลังจากอาหารกลางวันผ่านไปแล้ว ซูสือเยว่ก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้กำกับเฉิงให้เธอไปที่กองถ่ายที่โรงแรม มีเรื่องต้องการจะเจอกับเธอ
“สือเยว่!”
เมื่อถึงโรงแรมแล้ว ซูสือเยว่เพิ่งจะลงจากรถ ผู้กำกับเฉิงก็กระตือรือร้นเข้ามาต้อนรับทันที พลันพาตัวเธอไปยังห้องประชุมชั้นสอง
ผู้กำกับเฉิงแสดงความยินดีกับซูสือเยว่ก่อน จากนั้นก็เริ่มพูดด้วยถ้อยคำลึกซึ้งและทรงพลัง “พวกเราซาบซึ้งไปกับความรู้สึกของคุณกับท่านชายฉิน ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจแล้วว่า ฉากจูบในละครเรื่องนี้จะมีการปรับเล็กน้อย…”
ซูสือเยว่แววตาแพรวพราว
ฉากจูบในละครจะมีการปรับเหรอ?
หรือว่าจะตัดฉากจูบให้น้อยลง?
แม้ว่าเมื่อวานที่ฉินโม่หานประกาศออกมาก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว ไม่หวังให้เห็นว่าเธอกับผู้ชายคนอื่นจูบกัน
“พวกเราตัดสินใจแล้ว–”
ผู้กำกับเฉิงราวกับต้องการจะประกาศราชโองการอยู่เช่นนั้น พร้อมทั้งกระแอมเสียงออกมาอย่างชัดเจน “พวกเราตัดสินใจจะเพิ่มฉากจูบจากเดิมให้เป็นสามเท่า”
ซูสือเยว่ “!!!”
“ทำไมล่ะ?”
“คุณเพิ่งจะประกาศความสัมพันธ์กับคุณฉินโม่หาน แถมคนในอินเทอร์เน็ตต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกคุณเข้ากันได้ดี”
ผู้กำกับเฉิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “เวลานี้เอง พวกเราเลยจะเพิ่มฉากจูบให้ คุณก็สามารถแสดงความรักอันหวานซึ้งกับท่านชายฉินได้อย่างเปิดเผย!”
“ถึงตอนนั้น พวกเราก็ใช้กล้องหลายตัวถ่ายตอนที่พวกคุณจูบกันอย่างดูดดื่มออกมา จากนั้นก็ตัดแล้วเอาไปลงในอินเทอร์เน็ต ต้องเป็นหัวข้อที่เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างแน่นอน แบบนี้ ค่าโฆษณาของกองถ่ายเราก็ประหยัดไปได้แล้ว!”
“อีกอย่างหนึ่ง คุณกับท่านชายฉินรักใคร่กัน อีกอย่างหนึ่งคนในโลกอินเทอร์เน็ตก็สุขใจเต็มอิ่มไปด้วย หนังของเราก็จะมีชื่อเสียงโด่งดัง”
“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนะ สือเยว่!”
เขาพ่นน้ำลายออกมาจนพุ่งไปทั่ว “เอาแบบนี้แหละ!”
“เดี๋ยวค่ะ!”
ก่อนหน้าที่ผู้กำกับเฉิงลุกขึ้นยืนและพร้อมจะเดินจากไปนั้น ซูสือเยว่ก็ขมวดคิ้วเรียกเขาเอาไว้ก่อน “ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ”
“ฉันไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มบทจูบ และยิ่งไม่เห็นด้วยกับการที่ดึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฉินโม่หานเข้าไปพัวพันด้วย”
“ภาพยนตร์《ความทรงจำที่ขาดหาย》เป็นภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการนี้เพื่อโฆษณาและเรียกจุดขาย”
“สามีของฉันเขาเป็นนักธุรกิจหลิงเป่ยเชียนไม่ใช่ดารานักแสดง ไม่จำเป็นต้องเล่นไปตามบทละคร ดังนั้นฉันขอปฏิเสธค่ะ”
“ฉันไม่เพียงแต่จะขอปฏิเสธบทจูบที่เพิ่มมากขึ้น ฉันยังจะขอให้ตัดบทจูบให้ลดน้อยลงไปอีก”
ซูสือเยว่หลับตาลง “ด้านหนึ่ง ก็เพื่อลดการเปิดเผยของสามีฉัน”
“อีกเรื่องก็คือ เพื่อทำให้เขาสบายใจ”
กระทั่งฉินโม่หานได้ป่าวประกาศแสดงความรู้สึกว่าไม่ยินยอมให้เธอไปปจูบกับชายหนุ่มคนอื่นแล้ว เช่นนั้นเธอก็จะไม่จูบ
เขาทำเพื่อเธอ ขนาดงานประกาศข่าวแบบนั้นยังเปิดขึ้นมาแล้ว เธอต้องค้านกับผู้กำกับเพื่อเขา ให้ถ่ายฉากจูบน้อยลง เธอรู้สึกนี่เป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่สมควรจะเป็นกระดานให้เธอเหยียบย่ำขึ้นไป
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของผู้กำกับเฉิงพลันมลายหายไปทันที
เขาขมวดคิ้วจ้องมองซูสือเยว่ “นี่คุณโง่ไปหรือเปล่าเนี่ย?”
“โอกาสที่แสนดีขนาดนี้…”
“เธอไม่อยากจะจูบ ก็ตัดทิ้งไปสิ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มแทรกขึ้นมา
ผู้กำกับเฉิงผงะชั่วครู่ และรีบหันศีรษะกลับไป
หน้าประตูทางเข้าห้องโถง จี้หนานเฟิงยืนกอดอกพิงบานประตู แววตาเรียบเฉย “ผมเคารพในการตัดสินใจของสือเยว่”
ผู้กำกับเฉิงผงะทันที จากนั้นก็มองซูเยว่และจี้หนานเฟิงสลับกันไปมา สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจ “ได้ได้ ฟังพวกคุณสองคนก็แล้วกัน!”
ถ้าซูสือเยว่ยังยืนกราน เขาสามารถพูดเกลี้ยกล่อมเธอได้
แต่ถ้าจี้หนานเฟิงก็ยังยืนกรานคำเดิม … เขาไม่มีความเชื่อมั่นที่จะพูดเกลี้ยกล่อมพระนางตัวหลักทั้งสองคนได้
ถ้าพวกเขาเกิดไม่ยอมถ่ายกันขึ้นมา หนังเรื่องนี้เขายังจะถ่ายต่อได้ไหมล่ะ?
แม้ว่าตอบตกลงกันแล้ว ผู้กำกับเฉิงได้แต่ไม่รู้สึกยินดีอยู่เต็มอก
“ขนาดโอกาสลอยมายังไม่คว้าเอาไว้ ซูสือเยว่ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าต่อไปคุณจะโด่งดังขึ้นมาได้ไหม!”
เมื่อทิ้งคำพูดเหน็บแนมเอาไว้ให้ผู้กำกับเฉิง ก็หันตัวเดินออกไป
“ขอบใจนะ”
หลังจากที่ผู้กำกับเฉิงเดินออกไปแล้ว ซูสือเยว่ก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก และพูดขอบคุณจี้หนานเฟิง
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจหรอก”
จี้หนานเฟิงเดินเข้ามา และนั่งลงด้านข้างซูสือเยว่อย่างเหนื่อยล้าแต่คงความสง่างามเอาไว้ “ที่ผมทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าคุณ เพื่อผมเองด้วย”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วมองเขา อย่างไม่เข้าใจ
จี้หนานเฟิงเงยหน้าขึ้น แววตาไร้ซึ่งความหมายคู่นั้นจับจ้องบนใบหน้าของซูสือเยว่ “ผมได้รับปากกับซิงกวงเอาไว้ ไม่ช้าเร็วต้องให้คุณมาเป็นหม่ามี๊ของเธอ”
“ฉันไม่อยากเห็นพวกคุณจูบกันไปมาตรงหน้าฉัน”
ซูสือเยว่ “…”