บทที่ 16 แด๊ดดี้ควรจะป้อนข้าวหม่ามี๊
หลังจากยอมรับสารภาพ ประธานหวางก็ถูกนำตัวออกไป
ซูสือเยว่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างระมัดระวังตัว
มือที่ร้อนผ่าวของชายหนุ่มยังคงแผดเผาที่บริเวณผิวบนเอวของเธออยู่
ก่อนหน้านี้เธอพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตำรวจกับประธานหวางคนนั้น จนไม่ได้สังเกตเลยว่า ท่าทางของเธอกับฉินโม่หานนั้น ดูคลุมเครือแปลกๆชอบกล
ณ ตอนนี้ในห้องผู้ป่วยนั้นมีเพียงแค่พวกเขาสองคนนั้นเท่านั้น
บรรยากาศคลุมเครือ แสงไฟสลัวอ่อนโยน
ระยะห่างของทั้งสองฝ่าย ใกล้ชิดจนกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นของฝั่งตรงข้าม
เธอนั้นซึ่งเป็นคนที่สนิทกับคนน้อยอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เลยค่อนข้างไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ไม่น้อย
แต่พอเธอขยับ เขาก็ขยับตามเช่นกัน
ฝ่ามือที่หนากว้างนั้นยังคงจี้เผาผิวของเธออยู่ แผดเผาจนร้อนไปทั้งหูทั้งหน้าของเธอนั้นแดงไปหมด
เนิ่นนาน เธอกัดริมฝีปาก “ท่านชายฉิน คนเขาออกไปกันหมดแล้ว พวกเราไม่จำเป็นทำแบบนี้ก็ได้นะ?”
เมื่อกี้เธอตะโกนเรียกเขาว่าสามีอย่างอ่อนหวานนั้น จริงๆแล้วก็แค่ทำต่อหน้าคนพวกนั้นดูเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มยกมือ โอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นช่างน่าหลงใหลมีเสน่ห์จริงๆ “คุณเพิ่งตะโกนเรียกฉัน ไม่ได้เรียกว่าท่านชายฉินนะ ”
ลมหายใจของเขาใกล้มาก หัวสมองของซูสือเยว่นั้นช็อกตายไปในชั่วพริบตานั้น
เธอเหมือนเพิ่งจะตะโกนเรียกเขาว่าสามี……
ใบหน้าของหญิงสาวนั้น “กระโจน”เป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว
เธอรีบดึงมือของเขาออก ถอยตัวออกไปด้านหลัง หน้าเล็กๆร้อนแดงไหม้จนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“ซูสือเยว่”
เขาเองก็ไม่ได้ขยับเข้าหาเธออีก แต่พิงหน้าต่าง มือสองข้างกอดอกมองดูเธอ “ฉันไม่ชอบหญิงสาวที่ชอบโกหก”
ซูสือเยว่มองเขาอย่างงงงวย ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
“เมื่อก่อนคุณบอกว่า คุณไม่เป็นศิลปะการต่อสู้”
ประธานหวางถือว่าเป็นคนที่อายุค่อนข้างมากแล้ว แต่ว่าแท้จริงแล้วคือชายวัยกลางคนที่รูปร่างใหญ่โตคนหนึ่ง
ซูสือเยว่ซึ่งเป็นคนตัวเล็กผอมกะหร่องแบบนี้ ถ้าไม่เคยฝึกมาก่อน ตอนจะถูกมอมยาจะไปสู้กับเขาได้อย่างไรกัน?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่แทงเขาได้ถึงสองครั้ง
“ฉันไม่ได้โกหก”
พอรู้ว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นคือปัญหานี้ หญิงสาวเลยเม้มปากด้วยความเขินอาย “จริงๆแล้วเคยเรียนพื้นฐานมาบ้าง อันที่จริงเป็นสตั้นท์หญิงแสดงแทนมาหลายปีแล้ว”
ฉินโม่หานหรี่ตา ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“อาจจะมีอีก ประธานหวางคนนั้นอ่อนแอเกินไป”
ซูสือเยว่ก้มหัว พิจารณาประโยคนั้นอย่างแข็งขัน
ที่จริงแล้วเธอนั้นพอจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง ตอนแรกเจี่ยนเฉิงเห็นว่าเธอนั้นอ่อนแอ เลยสอนการป้องกันตัวให้เธออยู่บ้าง
แต่ว่าเจี่ยนเฉิงเองก็กำชับเธอไว้เช่นกัน ว่าอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นศิลปะการต่อสู้ เหมือนที่อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องปานที่อยู่หลังเอวของเธอ
ซูสือเยว่ไม่รู้จุดประสงค์ของเจี่ยนเฉิง แต่ในเมื่อเธอสัญญาว่าจะปกปิดมันแล้ว ก็จะปกปิดให้ถึงที่สุดให้ได้
ไม่ทันได้ตั้งตัว ข้อมือของเธอก็ถูกมือใหญ่ของชายหนุ่มจับกุมไว้แล้ว
ซูสือเยว่เงยหัวขึ้นมา มองที่ฉินโม่หาน “คุณ……”
ฉินโม่หานเริ่มหรี่ตาเล็กน้อย
เสียง “กั๊ก”
ข้อมือของซูสือเยว่ถูกเขาทำให้กระดูกเคลื่อนไปแล้ว
*
“ฉันเคยพูดกับคุณไปแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันเก่งกาจอะไรแบบนั้นจริงๆ นั่นมันเป็นเพราะว่าประธานหวางอ่อนแอเกินไปต่างหาก ”
นั่งอยู่ด้านหลังของรถ ซูสือเยว่มองไปที่ข้อมือตัวเองที่ถูกพันผ้าเอาไว้อย่างน้อยใจเบาๆ
ฉินโม่หานหน้าตาเรียบเฉยนั่งอยู่ข้างๆเธอ “ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณจะอ่อนแอถึงขนาดนี้”
เจตนาแท้จริงของเขาเพียงแค่อยากทดสอบเธอหน่อยเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่า จะทำแขนของเธอเคลื่อน
มองหน้าเล็กๆของเธอที่โมโหจนแก้มป่อง เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
ผู้หญิงที่อ่อนแอคนนี้จับนิดเดียวก็หัก จูบไปทีก็กรอบร่วน จะเป็นสตั้นท์นักแสดงแทนให้นักแสดงคนอื่นในภาพยนตร์?
เขาเริ่มรู้สึกแปลกขึ้นมา ตอนที่เธอทำงาน ท่าทางจะเป็นยังไง
ไม่นาน รถก็มาจอดที่หน้าประตูบ้านตระกูลฉิน
ซิงหยุนนั่งบนแท่นหินรออยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ ทางด้านซิงเฉินรีบตรงดิ่งเข้ามา “แด๊ดดี้ หม่ามี๊ไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
ประตูรถเปิดออก ซูสือเยว่ลงมาจากรถ
“หม่ามี๊——!”
ซิงเฉินตรงเข้ามาหาอย่างน่าเอ็นดู หันหน้ามามองมือขวาที่ได้รับบาดเจ็บของซูสือเยว่ “หม่ามี๊ได้รับบาดเจ็บ?”
“แค่กระดูกเคลื่อนเท่านั้นเองจะ”
ซูสือเยว่ใช้มือซ้ายลูบหัวเล็กๆของเขา “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
ซิงเฉินโมโหมากจนกัดฟัน “ต้องเป็นคนร้ายเลวทรามต่ำช้าคนนั้นทำแน่ๆ!?”
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก หันหัวไปมองชายหนุ่มที่อารมณ์เยือกเย็น จำใจต้องพยักหน้า “ใช่จะ”
เลวทรามต่ำช้าจริงๆ
“คนเลวนี่ช่างชั่วร้ายจริงๆ!”
“ฮึ กล้ามารังแกหม่ามี๊ของข้า หลังจากนี้ฉันจะต้องหาโอกาสแก้แค้นกลับให้ได้!”
ซิงเฉินเต็มไปด้วยความแค้นต่อความไม่ยุติธรรมในครั้งนี้
“เจ็บมากไหม?”
ซิงหยุนยืนขึ้นจากแท่นหิน หันหลังกลับเข้าประตูไปแบบมาดเท่ “ต้มชานมที่คุณชอบที่สุดให้คุณ”
“เออใช่!”
ซิงเฉินรีบดึงมือของซูสือเยว่ ดึงเธอเข้าประตูอย่างกระตือรือร้น “หม่ามี๊ ท่านพี่ค้นหามาให้โดยเฉพาะ ชานมรสเผือกที่ท่านแม่ชอบดื่ม!”
“คุณปู่พ่อบ้านนั้นตั้งใจไปเลือกซื้อวัตถุดิบให้โดยเฉพาะเลย ฉันกับพี่เลยช่วยกันต้ม ให้คุณตกใจ!”
เสียงที่ไม่พอใจของซิงหยุนที่หมุนตัวเข้าไปด้านใน “ฉินซิงเฉิน ระวังคำพูดด้วย ฉันต้มด้วยตัวเองต่างหาก”
“ไอ้ยหย่า ฉันไม่ใช่ว่าอยู่กับคุณด้วยกันตลอดเหรอ? ก็ถือว่านับได้นะว่าฉันเป็นคนต้ม!”
……
ฉินโม่หานนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังของรถ มองท่าทีของลูกชายทั้งสองคนที่เอาใจใส่พาซูสือเยว่เข้าประตูไป ก็ขมวดคิ้ว
เจ้าเด็กน้อยซิงหยุนกับซิงเฉินสองคนนั้น ปกติขี้เกียจขนาดชายังไม่ยอมชง ผู้หญิงคนนี้เพิ่งแต่งงานเข้ามาไม่กี่วัน พวกเขาขนาดชานมก็ต้มเป็นแล้ว?
เห็นขี้ดีกว่าไส้
“คุณชายสาม ตรวจสอบพบแล้ว”
เหลิงเหยียนเคาะประตู ส่งเอกสารชุดหนึ่งให้กับฉินโม่หาน “สาเหตุที่คุณนายปรากฏตัวที่ในซอยเล็กๆนั้น เป็นเพราะว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเจี่ยนเฉิง อาศัยอยู่ใกล้กับสลัมนั้น”
“เขาเป็นผีขี้เหล้า ติดหนี้การพนัน คุณนายไปครั้งนี้ น่าจะไปส่งเงินให้เขา”
“แล้วยังมี ระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมวันนี้ทั้งหมดถูกทำลาย แต่ว่าจากระบบรักษาความปลอดภัยโดยรอบถนนสายหลักนั้น พวกเรายังสามารถตรวจสอบได้ น้องสาวของคุณนายซูโม่เคยไปโรงแรมอยู่ครั้งหนึ่ง”
“ต้องการพุ่งเป้าหมายไปที่ตระกูลซูไหม?”
ชายหนุ่มโบกมือเบาๆ “รอไปก่อน”
*
“หม่ามี๊ ทางนี้!”
เวลาอาหารค่ำ ซิงเฉินดึงซูสือเยว่ไปที่เก้าอี้อย่างระมัดระวัง ดูแลจัดแจงที่นั่งให้เธอนั่ง
ซิงหยุนจัดแจงวางอุปกรณ์ทานอาหารด้านหน้าของซูสือเยว่อย่างตั้งอกตั้งใจ
นั่งฝั่งตรงข้ามของซูสือเยว่ ฉินโม่หาน มองฉากที่อยู่ตรงหน้า คิ้วขมวดรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
การแสดงออกของเจ้าเด็กสองคนนี้ ทำให้เขาที่เป็นพ่อแท้ๆรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนนอก
แต่ เขาเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่มือข้อมือด้านซ้ายที่พันแผลไว้ของซูสือเยว่ ยิ่งรู้สึกทรมานใจ
สักพัก ชายหนุ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบผักกวางตุ้งมา วางลงไปในชามของซูสือเยว่
“ขอบคุณ”
ซูสือเยว่ก้มหัวลง หลังจากพูดขอบคุณไป ก็เริ่มหยิบตะเกียบ
ข้อมือขวาได้รับบาดเจ็บ เธอจึงสามารถใช้ได้เพียงมือซ้ายหยิบตะเกียบ
แต่ว่าเธอนั้นเป็นคนถนัดขวา ใช้มือซ้ายหยิบตะเกียบ ขนาดความสมดุลยังรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงจะคีบของได้!
มองท่าทางงุ่มงามของเธอ ซิงเฉินหันหัวไป “แด๊ดดี้ หม่ามี๊บาดเจ็บอยู่ คุณป้อนข้าวหม่ามี๊เถอะ!”
“มือของหม่ามี๊เจ็บอยู่ แด๊ดดี้เป็นสามีของหม่ามี๊ ก็ต้องดูแลหม่ามี๊ซิ!”
คำพูดของเด็กๆ ทำให้ใบหน้าของซูสือเยว่เริ่มแดงขึ้นมา
และยิ่งทำให้เธอหน้าแดงหัวใจเต้นแรงยิ่งขึ้นนั้นก็คือ ฉินโม่หานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอนั้นยืนขึ้น เดินเข้ามาหา
ร่างกายของชายหนุ่มที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านเดินเข้ามาใกล้ ร่างกายของเขาที่มีความเป็นชายสั่นสะท้านอยู่นั้นกระแทกเข้ามาตรงหน้า
ท้ายที่สุด เขาก็มานั่งอยู่ข้างกายเธอ หยิบชามตะเกียบด้วยท่าทางสง่างาม
……เขาจะป้อนฉันจริงๆเหรอ?
“ไม่ไม่ไม่ ไม่ต้องหรอก!”
ซูสือเยว่รีบใช้มือห้ามปราม “ฉันจัดการเอง!”
เพียงแค่เขาเข้ามาใกล้ เธอก็หายใจไม่ออกแล้ว ถ้าเขายังจะป้อนข้าวเธออีก เธอคงขาดอากาศหายใจจนตายแน่ๆ!
“โกหก”
ซิงหยุนมองหน้าเธออย่างเรียบเฉย “ขนาดตะเกียบยังหยิบขึ้นมาไม่ได้เลย คุณจะกินข้าวได้ยังไง?”
“นั่นสิ!”
ซิงเฉินเม้มปาก แอบมองเธอแล้วยิ้ม “หม่ามี๊ คุณต้องว่านอนสอนง่ายนะ”
“ในละครเกาหลีชายหญิงเขาทำแบบนี้กันหมด”
ใบหน้าเล็กๆของซูสือเยว่แดงและไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี เธอไม่หันหน้าไป ทำตัวเหมือนผู้ปกครองที่สั่งสอนลูก “ลูกต่อไปดูละครเกาหลีให้มันน้อยๆหน่อย เรียนจากพี่ชายลูกเยอะๆ สุขุมหน่อย……”
สิ้นเสียงพูด ซิงหยุนเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “ผมคิดว่าน้องชายพูดถูกนะครับ”
“แด๊ดดี้ควรจะป้อนข้าวหม่ามี๊”
ซูสือเยว่: “……”
“อ้าปาก”
เสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดใจจากชายข้างกายก็ดังขึ้น