“เฮ้”
เย่เชียนจิ่วมองผู้หญิงคนตรงหน้า “เธอมาที่นี่ทำไม?”
ซูสือเยว่เองก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาเช่นกัน “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่?”
“ฉันเป็นพนักงานของที่นี่ไง”
เย่เชียนจิ่วยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ซูสือเยว่ เธอไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ? ฉันเป็นผู้ช่วยอยู่ที่ฉินซื่อกรุ๊ปน่ะ สามารถเจอกับฉินโม่หานได้ทุกเมื่อเลย”
ซูสือเยว่เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ “ผู้ช่วย?”
“เป็นผู้ช่วยจำพวกที่กางร่มถือรองเท้าให้ศิลปินฉันเจอที่กองถ่ายจำพวกนั้น?”
สีหน้าของเย่เชียนจิ่วดูย่ำแย่ออกมาทันที “เธอไม่เข้าใจความหมายของคำว่าผู้ช่วยฉันก็ไม่โกรธเธอหรอกนะ ใครใช้ให้เธอมีประสบการณ์ตื้นเขินกันล่ะ”
พูดจบ เธอก็หลุบตาลงมองกระติกเก็บความร้อนในมือของซูสือเยว่ “ทำไม คิดอยากจะทำตัวเป็นภรรยาที่ดี เอาข้าวมาให้?”
“น่าเสียดายจัง ที่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็เทียบเฉินเชี่ยนไม่ได้อยู่ดี!”
ซูสือเยว่แสยะยิ้มมุมปากออกมา “เฉินเชี่ยนดีมากเลยเหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
เย่เชียนจิ่วส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา ถึงยังไงเฉินเชี่ยนผู้หญิงคนนี้ไม่มีอยู่จริงอยู่แล้ว เป็นคนที่เธอกับหยางชิงโยวปั้นแต่งกันขึ้นมา
เธอจะพูดยังไงไปก็ได้ทั้งนั้น?
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว เธอก็ยิ้มเย็นออกมา “เฉินเชี่ยนเป็นดีกว่าเธอเป็นพันเท่าหมื่นเท่า เธอมันนับว่าเป็นตัวอะไรกัน!”
ซูสือเยว่เองก็ได้ยิ้มเย็นออกมาเช่นเดียวกัน “ในเมื่อเฉินเชี่ยนดีกว่าฉันเป็นพันเท่าหมื่นเท่า ทำไมเธอถึงได้มาเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอกัน”
เย่เชียนจิ่วตอบกลับมาโดยทันที “เธอหมายความว่าอะไร?”
“ความหมายก็คือ…”
ซูสือเยว่แสยะริมฝีปากออกมา “ฉันกำลังดูถูกเธออยู่ยังไงล่ะ”
“หัวใสร่วมกันแสดงละครกับหยางชิงโยว แสดงกันสนุกมั้ย?”
“ฉันคิดว่าเธอควรจะเข้าวงการบันเทิง การแสดงนั้นแสดงได้ไม่เลวเลย ต้องการให้ฉันช่วยแนะนำผู้กำกับให้มั้ย?”
พูดจบ เธอก็เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ลืมไปเลยว่าเธอเป็นนักแสดงไม่ได้หรอก”
“จะเป็นนักแสดงอย่างน้อยๆก็ต้องหน้าตาดูได้หน่อย”
พูดจบหญิงสาวก็ได้ก้าวเข้าไปในตึก
เย่เชียนจิ่วยืนอยู่ตรงที่เดิม ถลึงตาจ้องมองเงาร่างเบื้องหลังที่เดินจากไปของเธอ กระทืบเท้าออกมาอย่างแรง
……
ตอนที่ซูสือเยว่หิ้วกระติกเก็บความร้อนไปถึงห้องทำงานของฉินโม่หาน ภายในห้องก็ไม่มีใครเลยสักคนเดียว
เธอก็คว้าเลขาของฉินโม่หานตรงหน้าประตูมาได้
ทันทีที่เลขาเจอเธอ ก็ได้ยิ้มออกมา “คุณผู้หญิงสวัสดีครับ”
ซูสือเยว่เกิดอาการไม่คาดคิดขึ้นมา “รู้จักฉัน?”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ!”
เลขายิ้มออกมา “เมื่อหลายวันก่อนท่านประธานของพวกเราได้ประกาศสารภาพรักคุณในข่าวน่ะครับ ผมจะไม่รู้จักคุณได้ยังไง?”
ซูสือเยว่ยิ้มออกมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย
ความรู้สึกผิดในใจที่มีต่อฉินโม่หานเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เขาดีกับเธอตั้งขนาดนี้ เธอยังจะไปสงสัยเขาอีก…
“คุณผู้หญิง คุณมาหาท่านประธานใช่มั้ยล่ะครับ?”
เลขาเห็นกระติกเก็บความร้อนในมือซูสือเยว่ “ท่านประธานยังประชุมอยู่เลยครับ ให้ผมพาคุณไปรออยู่ที่ด้านนอกห้องประชุมมั้ยครับ?”
ซูสือเยว่อยากจะปฏิเสธออกไป
แต่เลขาก็ได้พูดออกมาอีกว่า “ถ้าท่านประธานประชุมเสร็จแล้วออกมา เห็นคุณผู้หญิงหิ้วปิ่นโตเอามื้อเที่ยงมาให้เขาเป็นสิ่งแรก เขาจะต้องดีใจจนเนื้อเต้นไปเลยครับ!”
ซูสือเยว่เงียบไปชั่วขณะ
เพื่อที่จะได้เห็นว่าฉินโม่หานจะดีใจจนเนื้อเต้นออกมายังไง เธอก็ได้ตัดสินใจที่จะเดินตามเลขาไป
ห้องประชุมอยู่ตรงอีกด้านนึงของทางเดิน
กั้นด้วยหน้าต่างยาวถึงพื้นขนาดใหญ่ ซูสือเยว่สามารถมองเห็นภาพผู้ชายคนนั้นกำลังฟังการรายงานอย่างตั้งอกตั้งใจได้อย่างชัดเจน
แววตาของเขาเฉยเมย สายตาจริงจัง เอียงหูเล็กน้อย
ฉินโม่หานกำลังตั้งใจฟังการรายงานของพนักงานอยู่
ภายในใจของซูสือเยว่อบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ ต่างจากภาพลักษณ์ท่านประธานเผด็จการที่ไม่เคารพใครจำพวกนั้นจากในจินตนาการของเธอไปมากโข
เขาไม่ใช่คนจำพวกที่ว่าวันวันนึงเอาแต่พูดเรื่องเงิน แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะรังแกคนอื่นเพียงเพราะว่าคนอื่นเขายังเด็กไม่มีประสบการณ์เพียงพอจำพวกนั้น
ใบหน้าของเขาดูงดงามเอาการเอางาน ให้อารมณ์ความเผด็จการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะผู้ชายอยู่หลายส่วน
และมือที่กำลังจับแฟ้มเอกสารอยู่นั้น…
เหมือนอย่างที่ซูสือเยว่คิดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
หยาบกร้าน และเต็มไปด้วยกำลัง
มันไม่ใช่มือขาวเนียนนุ่มข้างนั้นที่อยู่ในคลิปเมื่อวานเลย
เห็นมือทั้งสองข้างอย่างนี้ ซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ยิ้มเยาะตัวเอง
เธอนึกว่าตัวเองรู้จักฉินโม่หานเพียงพอแล้ว
แต่จนเมื่อถูกหลอกครั้งนี้ เธอถึงได้รู้ชัดว่าเธอเพียงแค่คิดไปเองว่าเธอรู้จักเขาดีแล้วเท่านั้นเอง
ส่วนเขานั้นกลับเข้าใจเธอไปอย่างจริงจังมาโดยตลอด
ฟู๋เชียนเชียนพูดถูก แท้จริงแล้วเธอควรจะขอโทษฉินโม่หานเสีย
แน่นอนว่าเธอเองก็หวังว่าฉินโม่หานก็จะขอโทษเธอเหมือนกัน
หรือไม่ก็จะไม่ขอโทษกันก็ได้ เธอหวังว่าเธอจะสามารถสำนึกผิดได้สักหน่อย
ในเมื่อเขาไม่ได้ไปเยี่ยมเฉินเชี่ยนด้วยกันกับกับเย่เชียนจิ่วหยางชิงโยว ทำไมไม่เรียกเธอ?
เป็นเพราะว่ายังคิดว่าเธอเป็นคนนอกในชีวิตของเขาอยู่หรือเปล่า?
ในตอนที่ซูสือเยว่กำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยอยู่นั้นเอง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงพาดผ่านเข้ามา
หญิงสาวย่นคิ้วออกมา มองไปทางสายตานั้นทันที
อีกฝั่งที่กั้นด้วยหน้าต่างที่ยาวจรดพื้นบานใหญ่ เธอมองเห็นชายที่กำลังประชุมอยู่ด้านในอย่างชัดเจน
ดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้นของเขากำลังจ้องมองเธอนิ่ง เหมือนกับมีอะไรจะพูด
ดวงตาทั้งสองคู่ได้สบเข้าหากัน ซูสือเยว่ยิ้มออกมาอย่างเขินอายเล็กน้อย ทำมือส่งสัญญาณให้เขาประชุมต่อ แล้วก็หันกลับมานั่งกอดกระติกเก็บความร้อนรออยู่ด้านนอกต่อไป
บรรยากาศภายในห้องประชุมได้เปลี่ยนมาเข้าใจยากขึ้นมา
เจ้านายที่เคร่งขรึมมาโดยตลอด บนใบหน้าได้ปรากฏรอยยิ้มออกมา
ผู้คนที่กำลังประชุมกันอยู่นั้นต่างพากันตกตะลึงกันออกมา
ทุกคนมองออกไปด้านนอกกันทันที—
ด้านนอกประตู ผู้หญิงที่สวยสุดๆคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งด้านนอก กำลังกอดกระติกเก็บความร้อนอยู่ในอ้อมแขน นั่งอยู่อย่างเรียบร้อย เหมือนกับเด็กม.ต้นที่กำลังรอสอบรายเดือนมากเลย
คนที่อยู่ภายในห้องประชุมหันมองหน้ากัน
ผู้หญิงคนนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนเลย
เพราะว่าเมื่อสองวันก่อน ฉินโม่หานเจ้านายที่เยือกเย็นเคร่งขรึมต่อหน้าพวกเขาคนนั้น เป็นคนเปิดการแถลงข่าวยอมรับต่อหน้าคนทั่วโลกว่าเขาชอบเธอ อีกทั้งยังชอบเธอเอามากๆ ถึงขนาดที่ทำเอาเขากลายเป็นยอดสามีคนนึงเลยทีเดียว
เรื่องนี้ ได้เป็นเรื่องที่พูดคุยกันด้วยความรื่นรมย์ภายในบริษัท
เหล่าผู้คนได้สื่อสารกันทางสายตากันอยู่แป๊บนึง
พนักงานคนนั้นที่กำลังทำการรายงานอยู่ก็ได้เร่งความเร็วในการรายงานขึ้น
รวบรัดตรงส่วนที่มันยุ่งยากให้ง่ายขึ้นจวบจนบรรลุถึงเป้าหมาย
หลังจากที่ผ่านไปห้านาที การประชุมก็สิ้นสุดลง
ซูสือเยว่รีบยืนขึ้นมาทันที
ประตูห้องประชุมเปิดออก
พนักงานที่ออกมาคนแรก ทันทีที่เดินออกมาก็ได้ทักทายซูสือเยว่ออกมาอย่างกระตือรือร้น “คุณผู้หญิงของท่านประธานสวัสดีครับ!”
คุณผู้หญิงของท่านประธาน…
ซูสือเยว่ยังปรับตัวกับชื่อเรียกนี้ไม่ได้เล็กน้อย
เธอยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “สวัสดีค่ะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักพวกเขา แต่เธอก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของพวกเขานั้นจริงใจกันทั้งนั้นเลย
ดังนั้นแล้วเธอก็เลยทักทายพวกเขาแต่ละคนไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ พร้อมกล่าวลาไปกับแต่ละคน
เพียงไม่นาน คนในห้องประชุมก็ออกกันไปจนเหลือเพียงแค่ฉินโม่หานคนเดียว
หลังจากตรงทางเดินเงียบลง ซูสือเยว่ก็ได้หันหน้าไปมองด้านในห้องประชุมไปตามสัญชาตญาณ
ในเวลานั้นเอง ชายที่อยู่ภายในห้องประชุมคนนั้นก็กำลังมองเธออยู่
ชายหนุ่มเอามือข้างนึงมาเท้าคาง แล้วนั่งยิ้มออกมา
สวยตาแบบนั้นของเขาทำให้บนใบหน้าของซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะแดงออกมา
เธอเม้มริมฝีปาก เตรียมที่จะหิ้วกระติกเก็บความร้อนเดินเข้าไป ชายที่อยู่ด้านในกลับลุกขึ้นมาแทน
เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ทำไม จู่ๆก็ว่างเอามื้อเที่ยงมาให้ผม?”
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปาก “ฉันตั้งใจมาขอโทษคุณโดยเฉพาะ”