มาขอโทษ…
ฉินโม่หานมองเธอไปนิ่งๆอยู่สักพักนึง มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มออกมา
“ไปห้องทำงานผมเถอะ”
ซูสือเยว่ลังเลไปชั่วขณะ แล้วก็ได้ตอบรับออกมา “ค่ะ”
ห้องประชุมยังไงมันก็เป็นสถานที่ในการประชุม
อีกอย่างที่นี่ก็มีหน้าต่างกระจกใสยาวจรดพื้นขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงแค่ยืนอยู่ตรงทางเดิน ก็จะสามารถมองเห็นการกระทำและท่าทางของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่จะเหมาะกับการกินข้าวพูดคุยกันเลยจริงๆ
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็หยุดฝีเท้าที่กำลังจะเข้าไปลง แล้วยืนรอเขาออกมาอยู่ตรงหน้าประตูไปอย่างว่าง่าย
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องประชุม รับกระติกเก็บความร้อนในมือเธอไปวางไว้ในมือข้างซ้ายอย่างเป็นธรรมชาติ มือขวาก็กุมมือของเธอเอาไว้
มือใหญ่ของชายหนุ่มแห้งกร้าน ประดับไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกสงบใจขึ้นมา
มือใหญ่ของเขาหอบหุ้มมือเล็กทั้งหมดของเธอเอาไว้ เหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาคอยปกป้องเธอมาโดยตลอด
ทำให้รู้สึกหวั่นไหว หัวใจเต้นแรงขึ้นมา
มือของทั้งสองคนจับจูงกันอยู่ตรงทางเดิน
มือข้างหนึ่งของฉินโม่หานหิ้วกระติกเก็บความร้อนเอาไว้ มืออีกข้างนึงก็ได้จูงมือเธอเอาไว้
มือข้างหนึ่งของซูสือเยว่ได้ถูกเขาจับจูงเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งไม่มีที่ให้วางไปอย่างควบคุมตัวเองเอาไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาจับมือกันในที่สาธารณะ
เธอมีความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่สิ่งที่อยู่ภายในใจมันมากกว่า เป็นความรู้สึกหวานชื่นที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
“ตื่นเต้น?”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นมาข้างๆใบหู
ซูสือเยว่พยักหน้าตอบรับไปตามสัญชาตญาณ “นิดหน่อย”
เมื่อก่อน ขนาดเธอรักกันกับเฉิงเซวียน ทั้งหมดมันก็ได้ฝังอยู่ใต้ดินไปหมด
แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยจูงมือแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยอย่างนี้มาก่อนเลย
“ชินแล้วก็ดี”
ชายหนุ่มที่กำลังจูงเธออยู่นั้นได้ยกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพื่อการดูแลจังหวะการก้าวเท้าของเธอ ขายาวๆของชายหนุ่มได้เดินไปอย่างช้าๆ “ผมเองก็ครั้งแรกเหมือนกัน”
ซูสือเยว่เบ้ปากออกมา พยายามคลายความเก้อเขินของตัวเองลง “แต่ฉันคิดว่าดูเชี่ยวชาญมากเลยนะคะ”
“เชี่ยวชาญมาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
ในน้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มได้ประดับไปด้วยท่าทียิ้มแย้มมีความสุขอยู่หลายส่วน “เหมือนกับบนเตียงนอน เรื่องจำพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องมีครู”
ใบหน้าของซูสือเยว่แดงออกมาโดยสมบูรณ์
ทั้งสองคนเดินกันไปอยู่สักพักนึง ก็ได้เจอกับพนักงานหลายคนที่กลับมาหลังจากที่กินข้าวเสร็จ
พนักงานได้ทักทายพวกเขาไปด้วยความนอบน้อม “ท่านประธาน คุณผู้หญิงของท่านประธานสวัสดีค่ะ”
“อืม”
ฉินโม่หานพยักหน้ารับออกมานิ่งๆ
ซูสือเยว่ยิ้มไปทางเหล่าพนักงานไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “สวัสดีทุกคน”
คงจะเป็นเพราะว่านึกไม่ถึงว่าซูสือเยว่จำตอบกลับพวกเขาไปอย่างนี้ พนักงานหลายคนก็ได้ยิ้มออกมาอย่างประหลาดใจ แล้วก็ได้เดินผ่านพวกเขาออกไป
“ท่านประธานชอบคุณผู้หญิงท่านนี้จริงๆเลยนะเนี่ย นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้เห็นท่านประธานได้โชว์ความรักออกมาอย่างนี้!”
“นึกไม่ถึงว่าคุณผู้หญิงจะสวยขนาดนี้ แล้วก็ยังเป็นคนเข้าหาง่ายเป็นกันเองขนาดนี้…”
“เหมาะสมกันมากเลยจริงๆ! สาวสวยคู่กับหนุ่มหล่อ…”
เสียงการพูดคุยกันของเหล่าพนักงาน เข้ามาในหูของทั้งสองคนอย่างแผ่วเบา
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา แต่สุดท้ายก็มีความสุขเสียจนอดที่จะยกริมฝีปากขึ้นมาไม่ได้
เธอกุมมือของฉินโม่หานกลับไปเงียบๆ
เธอน่าตลกมากเลย
ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกได้ถึงความรู้สึกที่ฉินโม่หานมีต่อเธอได้เลย แต่เธอกลับสงสัยเขาเพราะว่าผู้หญิงสองคนนั้นทำให้เข้าใจผิด…
ฉินโม่หานเดินไปพลางชำเลืองมองใบหน้าที่เอ่อล้นไปด้วยความสุขของสาวน้อยไปพลาง
ชายหนุ่มแสยะริมฝีปากออกมา
เหล่าพนักงานที่เพิ่งจะเจอมาเมื่อกี้นี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นพนักงานฝ่ายการตลาด
ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาขึ้นเงินเดือนให้ฝ่ายการตลาดแล้ว…
……
ถูกฉินโม่หานจับจูงเอาไว้ ซูสือเยว่เดินไปอย่างช้าๆ
เธอถึงขนาดที่หวังว่าตรงทางเดินนี้จะไม่มีสิ้นสุด เธอจะได้สามารถถูกเขาจับมืออย่างนี้ไปตลอด มีความสุขอย่างนี้ต่อไปได้
แต่ยังไงทางเดินมันก็ยังคงมีที่สิ้นสุด
เพียงไม่นาน ทั้งสองคนก็เดินมาถึงประตูทางเข้าห้องทำงาน
ชายหนุ่มเปิดประตู
ห้องทำงานของฉินโม่หานใหญ่โตกว้างขวางมาก
ชายหนุ่มเดินเข้าไป วางกระติกเก็บความร้อนลงไปบนโต๊ะน้ำชา
ซูสือเยว่รีบตามไปโดยทันที นำอาหารที่อยู่ด้านในออกมาจัดเรียงอย่างระมัดระวัง “วันนี้ฉันอยากจะมาขอโทษคุณ”
“ก็เลยทำอาหารตามที่คุณชอบมานิดหน่อย…”
ดวงตาที่ล้ำลึกมองไม่เห็นก้นลึกของชายหนุ่มจ้องมองเธอไปเงียบๆ
ซูสือเยว่ถูกมองมาเสียจนรู้สึกเขินอายออกมาเล็กน้อย เธอได้ก้มหน้าลงไป “ช่วงนี้ฉันยุ่งอยู่ตลอด เหมือนกับว่าจะไม่ได้ทำเมนูปลาให้คุณมานานมากแล้ว”
“คุณลองชิมดูมันถูกปากคุณหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบล่ะก็…พวกเราก็ออกไปกินกันข้างนอก”
“ไม่มีทางจะไม่ชอบหรอก”
ฉินโม่หานยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอไปเบาๆ แล้วนั่งลงข้างๆร่างของเธอ
ซูสือเยว่รีบส่งตะเกียบไปให้ด้วยความเอาใจใส่
ท่าทางที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวนี้ มันเหมือนกับสะใภ้ตัวน้อยในสังคมศักดินาคนหนึ่งเลย
ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความจนใจ “คุณทำอย่างนี้ผมไม่ชินเลย”
ซูสือเยว่ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “ถึงยังไงฉันก็เป็นคนทำผิดไปมั้ยล่ะ…ก็ต้องมีท่าทีที่ขอโทษสำนึกผิดออกมาหน่อยสิ”
“คุณทำอะไรผิด?”
“ฉันไม่ควร…”
ซูสือเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ควรดื่มเหล้า ไม่ควรพูดว่าคุณไม่ชอบฉัน และก็ไม่ควรจะ…ฟังคำยุแยงของคนอื่น”
“ฉันเองก็เพิ่งจะมาค้นพบเอาในตอนหลังแล้วเหมือนกันว่าที่แท้แล้วตั้งแต่ต้นจนจบฉันไม่เคยถามคุณเกี่ยวกับเรื่องเฉินเชี่ยนและเรื่องตัวแทนไปตรงๆเลย”
“ฉันไม่เพียงจะไม่เคยถามคุณออกไป แล้วยังเสียใจไปเอง คิดว่าคุณไม่ชอบฉัน แล้วยังดื่มเหล้า พูดเรื่องน่าขายหน้าออกไปอีก…”
เสียงของหญิงสาวเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เบาเหมือนริ้นรา
ฉินโม่หานยกมือขึ้นมาลูบผมเธอไปด้วยความจนใจ พร้อมกับทอดถอนหายใจออกมาด้วยความหน่ายใจ
“จริงๆแล้วผมเองก็ผิดเหมือนกัน”
“ผมคิดว่าสิ่งที่ผมควรทำกับคุณก็ได้ทำไปหมดแล้ว ส่วนที่ควรทำดีกับคุณก็ได้ทำดีกับคุณไปหมดแล้ว คุณคงสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณได้”
“แต่ผมนึกไม่ถึงว่าผมไม่แสดงออกไปคุณจะคิดจริงๆว่าผมไม่ได้ชอบคุณ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากออกมา ก้มหน้าลงแล้วบอกเรื่องที่เย่เชียนจิ่วกับหยางชิงโยวรวมหัวกันหลอกเธอให้กับเขาฟังไปจนหมด
ฉินโม่หานเงียบอยู่นาน ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ ก็ได้แสยะริมฝีปากออกมาจางๆ “ผมคิดว่าที่คุณพูดมาเมื่อครู่มันก็มีเหตุผลดี”
ซูสือเยว่เลิกตาขึ้นไปมองเขา
ชายหนุ่มถือตะเกียบ กินข้าวไปพลาง แสยะริมฝีปากอย่างเย็นชาออกมาพลาง “ผมเองก็เคยคิดเหมือนกัน”
“เฉินเชี่ยนคนที่ดีอย่างนั้น ทำไมถึงได้ยอมมาเป็นเพื่อนกับพวกเธอทั้งสองคน”
“พูดไปแล้วมันก็แปลกเหมือนกัน”
“หลังจากเรื่องเมื่อตอนนั้น ผมเคยสืบเรื่องเฉินเชี่ยนมาก่อน เคยสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้นเมื่อตอนนั้นของเย่เชียนจิ่วกับหยางชิงโยวมาหลายคนแล้ว
“ทุกคนต่างก็บอกว่ามีการดำรงอยู่ของเฉินเชี่ยน ทุกคนต่างก็สามารถเล่าเรื่องราวของเฉินเชี่ยนออกมาได้ทั้งนั้น”
“แต่ตอนที่ถามไปถึงรายละเอียดมากๆเข้า มันกลับไม่เหมือนกันเลยสักคน”
ชายหนุ่มหลับตาลง “อีกทั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในระดับชั้น หรือว่าจะเป็นการถ่ายรูปหมู่…”
“ในภาพก็ไม่มีเฉินเชี่ยนเลย”
“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังบอกชัดเจนไม่ได้เลยว่าตกลงแล้วเฉินเชี่ยนมีหน้าตาเป็นยังไงกันแน่”
“เธอเหมือนกับมนุษย์ล่องหนที่จะมีอยู่จากปากของคนอื่นเท่านั้น”
“ถึงขนาดที่ผมยังเคยสงสัยเลยว่าเฉินเชี่ยนผู้หญิงคนนี้สรุปแล้วเคยมีอยู่จริงๆหรือเปล่า”
“แต่ถ้าเธอไม่มีอยู่จริงแล้วล่ะก็ อย่างนั้นแล้วซิงหยุนกับซิงเฉิน จะอธิบายออกมาได้ยังไงอีก?”
ซูสือเยว่ย่นคิ้วออกมา “เย่เชียนจิ่วกับหยางชิงโยวก็ไม่เคยให้คุณดูภาพของเธองั้นเหรอคะ?”
จากที่หยางชิงโยวกับเย่เชียนจิ่วพูดมา เฉินเชี่ยนนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของพวกเขาเลย
แต่ในเมื่อเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำไมถึงไม่มีรูป ทำไมฉินโม่หานถึงไม่รู้ว่าเฉินเชี่ยนมีหน้าตาเป็นยังไง?
“เย่เชียนจิ่วเคยบอกว่าที่ไม่ให้ผมรู้จักรูปลักษณ์หน้าตาของเฉินเชี่ยนก็เพราะกลัวว่าผมจะลืมไม่ได้”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้หัวใจของซูสือเยว่จมดิ่งไปอย่างจัง
เธอเงยหน้าขึ้นมา “งั้น…ถ้าวันนึงฉันตายไป คุณจะลืมฉันไปไม่ได้ด้วยหรือเปล่า?”
ฉินโม่หานยกแก้วชาขึ้นมาจิบ “ไม่มีทาง”
หัวใจได้หล่นร่วงลงไปในก้นเหวลึกไปโดยทันที
ซูสือเยว่หัวเราะแห้งๆออกมา ทันที่ที่คิดจะเปลี่ยนประเด็นไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่ม
“ถ้าวันหนึ่งคุณตายไป”
“ผมก็จะตายไปพร้อมกับคุณด้วย”