บทที่ 17 คืนนี้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณ
ซูสือเยว่อ้าปาก กำลังอยากจะพูดอะไรออกมา ข้าวก็ถูกยัดเข้ามาในปากของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถูกยัดเข้าไปในปากมาเต็มๆ เธอเลยพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย
ไม่มีทางเลือกอื่น เธอทำได้เพียงเคี้ยวข้าวในปากเท่านั้น
แต่พอตอนที่จะเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง ก็มีตะเกียบที่คีบอาหารยัดเข้ามาในปากอีก
เป็นซะแบบนี้ อาหารที่ป้อนจากฉินโม่หานนั้นมาต่อเนื่องคำต่อคำไม่หยุดหย่อน
ในตอนแรกซูสือเยว่นั้นยังอยากจะปฏิเสธ แต่หลังจากนั้นก็ยอม
ยังไงมือของเธอก็ใช้งานได้ไม่สะดวกจริงๆนั่นแหละ และอีกอย่างฉินโม่หานเองที่ทำให้เธอเจ็บ
เงยหน้าขึ้นมา เธอทานข้าวไป ก็แอบมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆเธอคนนี้
เขาเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย อุปนิสัยเยือกเย็นอวดดี แต่ว่าการกระทำของมือที่ป้อนข้าวเธอนั้นช่างสง่างามอ่อนโยนหาสิ่งใดเปรียบเทียบได้
แสงไฟที่ส่องไปบนใบหน้าที่มีเส้นริ้วปวดแสบของเขาได้อย่างชัดเจน ทำให้อวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าของเขายิ่งมีเสน่ห์ลึกเข้าไปอีก
ผู้ชายคนนี้ นั่นก็คือฉินโม่หาน
สามีตอนนี้ของเธอ
ซูสือเยว่มองเขา มองอย่างตะลึง จับจ้อง ขนาดลืมที่จะอ้าปาก
“หม่ามี๊ แด๊ดดี้นั้นน่ามองมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ทันใดนั้น เสียงเด็กหัวเราะของซิงเฉินก็ดังขึ้นมาข้างหู
พอซูสือเยว่รู้สึกตัวอีกครั้ง เพิ่งพบว่าตอนนี้ ฉินโม่หานยังคงถือตะเกียบรอเธออ้าปาก
เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอ ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ชัดเจนทีเดียว เขาจับได้แล้ว เธอมองเขาเคลิบเคลิ้มจนเพลิน
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
เธอตะกุกตะกักหันไปทางอื่น “ฉัน ฉันอิ่มแล้ว!”
“ดี”
ฉินโม่หานที่ท่วงท่าสง่างามยัดอาหารที่ซูสือเยว่ไม่ได้กินเข้าในปากตัวเอง
จากนั้น เขาก็ใช้ชามตะเกียบที่ซูสือเยว่ใช้ก่อนหน้านี้ เริ่มกินข้าว
ซูสือเยว่หน้าแดงหัวใจเต้นรัว
เธอและเขาถือว่าเป็น……
จูบทางอ้อม?
“ไม่สบายหรือเปล่า? หน้าทำไมแดง?”
ซิงหยุนมองซูสือเยว่ ริมฝีปากนี้หายากนักที่จะเกิดรอยยิ้มขึ้นมา
ซูสือเยว่ยื่นมือออกไปจับหน้าตัวเองจากจิตใต้สำนึก
อุณหภูมิร้อนที่แผดเผาเธอรับดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างงั้น……ฉันขึ้นข้างบนพักผ่อนก่อนแล้วกัน!”
พูดจบ เธอวิ่งเหยาะๆตลอดทาง รีบขึ้นข้างบนอย่างรวดเร็ว
น่าจะเป็นเพราะว่ากังวลมากเกินไป ตอนที่ซูสือเยว่ขึ้นบันไดนั้น ไม่ได้ระวังจึกทำให้มือขวาที่หันผ้าพันแผลไว้นั้นชนเข้ากับราวบันไดเข้า
“โอ๊ย——!”
กระดูกเคลื่อนบวกกับกระแทก เธอเจ็บจนน้ำตาร่วงออกมาอย่างรวดเร็ว
“หม่ามี๊!”
ซิงหยุนและซิงเฉินที่อยู่ด้านหลังวางตะเกียบลงพร้อมกัน กังวลจนลุกจากเก้าอี้มาหา
“ฉันไม่เป็นไร”
ซูสือเยว่กุมข้อมือที่กระดูกเคลื่อนเอาไว้ แล้วรีบหันกลับมาปลอบพวกเขา “แค่ไม่ได้ระวังเท่านั้นเอง ฉันนั้นไม่ใช่เด็กๆแล้ว——”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ขาของเธอเหยียบไปอากาศ คำสุดท้ายยังไม่ทันจะพูดออกมา คนก็ล้มไปกองอยู่ที่ด้านล่างของบันไดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูสือเยว่ปิดตา เป็นการปกป้องหน้าตัวเองตามสัญชาตญาณ เตรียมตัวต้อนรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง
เธอจะต้องกลิ้งตกจากบันไดลงมาแน่นอน
เสียหน้ามากจริงๆเลย!
มือใหญ่ร้อนนั้นโอบรอบเอวบอบบางของเธอ
เสี้ยววินาที เธอนั้นก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดกว้างแสนอบอุ่นแล้ว
ลมหายใจของฉินโม่หานที่สูงส่งหยิ่งทะนงเย็นชาท่วมแออัดอยู่ในโพรงจมูก
ซูสือเยว่รีบลืมตา
เบื้องหน้า คือเขาที่มีรอยที่คอซึ่งปรากฏเค้าโครงเป็นรอยที่ลึกรุนแรง
“แด๊ดดี้หล่อมาก!”
ในห้องอาหารชั้นล่าง ซิงเฉินปีนกลับไปที่เก้าอีกครั้ง ดื่มน้ำผลไม้ไป ยกนิ้วโป้งให้ฉินโม่หาน “สมกับเป็นลูกผู้ชาย!”
“ท่านพี่ว่าจริงไหม?”
“อืม”
ซิงหยุนก้มหัวลง กินข้าวไป พูดอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าอุ้มหม่ามี๊ไปส่งที่ห้อง จะยิ่งหล่อกว่าเดิมอีก”
ซูสือเยว่: “…….”
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนนี้ จงใจที่จะกระตุ้นฉินโม่หานอุ้มเธอกลับไป?
“อายุไม่ได้เยอะ แต่กลับคิดอะไรเยอะแยะ”
ฉินโม่หานส่งเสียงสงสัยเบาๆ อุ้มซูสือเยว่จากด้านข้างขึ้นมา ขึ้นข้างบนด้วยย่างก้าวมั่นคง
ความอบอุ่นและลมหายใจของร่างกายผู้ชาย ทำให้เลือดทั้งตัวของซูสือเยว่นั้นเริ่มสูบฉีดไปมาอย่างอุตลุด
เธอ……นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายอุ้มแบบนี้
เมื่อห้าปีที่แล้วหลังจากเรื่องนั้น เธอก็เริ่มต่อต้านสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ชายคนใดก็ตาม
เฉิงเซวียนภายนอกนั้นเคารพเธอ แต่แท้จริงแล้วภายในนั้นเปลี่ยนใจไปนานแล้ว ยิ่งการกระทำนั้นเหมือนว่าไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับเธอเลย
แต่ว่าทำไม เธอสามารถต่อต้านสัมผัสจากเฉิงเซวียนที่รักกันมาห้าหกปีได้ แต่กลับไม่เคยเกลียดการใกล้ชิดของฉินโม่หานเลย?
คิดถึงเรื่องพวกนี้ หัวใจของซูสือเยว่ก็เต้นไวขึ้นมานิดหน่อย
ฉินโม่หานอุ้มเธอไว้ เดินมาถึงประตูห้องนอน
ขณะที่ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งที่ว่างไปเปิดประตู ร่างกายของเธอก็โอนเอน
เกือบจะเป็นสัญชาตญาณ เธอกระโจนไป ยื่นมือไปกอดต้นคอของเขา
ตอนที่กระโจนขึ้นไปนั้น ริมฝีปากของเธอนั้นไปถูกับแก้มเย็นๆของเขา
ทั้งสองคนนั้นตื่นตกใจอยู่ชั่วขณะนั้น
สุดท้ายก็เป็นฉินโม่หานที่เรียกสติกลับมาได้ก่อน
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มไม่เบาไม่หนักวางเธอไว้บนเตียงใหญ่
“ซูสือเยว่”
เพราะว่าสัมผัสที่เพิ่งเกิดขึ้น ซูสือเยว่รู้สึกว่าริมฝีปากของตัวนั้นร้อนเป็นไฟ ระหว่างที่จิตใจว้าวุ่นสับสน เธอก็ได้ยินเสียงที่เย็นช้าที่ถามเธอด้วยรอยยิ้ม: “คุณโง่ขนาดนี้ ไปเป็นสตั้นหญิงแสดงศิลปะการต่อสู้แทนได้ยังไง?”
เธอเงยขึ้นไปมองอย่างเลื่อนลอย สบตาเข้ากับ เขาซึ่งดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาคู่นั้นซึ่งปกติแล้วจะเย็นชาลึกลับคล้ายกับน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้น คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีรอยยิ้มขึ้นมานิดหน่อย
เธอตะลึงไปนิดหน่อย
ที่แท้ดวงตาของผู้ชายคนนี้ สวยได้ถึงขนาดนี้……
เนิ่นนาน เธอถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับคำถามเมื่อกี้ของเขา
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก “ฉันปกติไม่ได้โง่นะ”
ก็แค่ตอนเวลาที่เผชิญหน้ากับเขา หัวสมองของเธอไม่หมุนกลับมาเท่านั้นเอง
“ดังนั้นตอนนี้คือแกล้งโง่?”
เขาพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี
ซูสือเยว่รีบส่ายหน้า “ไม่ใช่!”
มุมปากของฉินโม่หานยกขึ้นเล็กน้อย “งั้นคืออะไร?”
ซูสือเยว่งุนงง ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี
ขณะที่เธอกำลังงงทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น ด้านนอกประตูก็มีเสียง “แก๊ก”ดังขึ้น
มีคนล็อกประตูของห้องนอนไป
“แด๊ดดี้ หม่ามี๊บาดเจ็บไปหมดแล้ว แด๊ดดี้ต้องอยู่ดูแลเธอดีๆนะ!”
ด้านนอกประตู เสียงของซิงเฉินที่ฉลาดซุกซนดังขึ้น
ซูสือเยว่ชะงัก รีบลุกขึ้น“ซิงเฉิน หยุดกวนได้แล้ว!”
“แด๊ดดี้ของพวกเธอไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะต้องทำโอทีหรือประชุมอะไรแบบนั้นก็ได้นะ เธอจะมาขังเขาไว้ที่นี่ไม่ได้นะ!”
“คุณเปิดประตู!”
เธอที่เต็มไปด้วยสายตาต่อต้านและน้ำเสียงที่เป็นกังวล ทำให้ฉินโม่หานอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “คุณดูเหมือนจะไม่ต้องการอยู่ด้วยกันกับผม?”
ถูกพูดความในใจ ซูสือเยว่หยุดนิ่ง รีบส่ายหัว “ฉันเปล่า”
“ฉันก็แค่……เป็นห่วงว่าคืนนี้คุณน่าจะยุ่งมาก”
“ไม่ยุ่ง”
ชายหนุ่มค่อยๆโน้มตัวเข้ามา แขนทั้งคู่วางไว้ข้างกายของเธอ ร่างกายเอนลงมา
บนร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยลมหายใจที่ก้าวร้าว ทำให้ซูสือเยว่พยายามหลบเขาไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ สุดท้ายเธอก็นอนลงไปบนเตียง อยากจะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว
ฉินโม่หานยกมือไปจับกรามจองเธอ “ผมไม่ยุ่ง”
“ไม่มีโอทีและก็ไม่มีประชุม”
“คืนนี้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
ขณะที่พูด สายตาของชายหนุ่มก็กวาดไปที่กระดูกไหปลาร้าที่แสนเซ็กซี่ของเธอ ความทรงจำในห้องอาบน้ำครั้งที่แล้วก็หวนกลับมา
เขาจ้องมองเธอ น้ำเสียงแหบทุ้มต่ำ “คืนวันนั้น คุณยังจำได้อยู่เท่าไหร่?”
ซูสือเยว่ตอนแรกไม่เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง แต่พอตอนที่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเขา เธอก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว!
เธอกลืนน้ำลายด้วยความกังวล “คืนนี้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
พูดก็ยังพูดไม่จบ ริมฝีปากเย็นบางของชายหนุ่มก็จูบเข้ามาแล้ว