ทำอาหารสี่จานและซุปหนึ่งจานอย่างง่าย
ฉินโม่หานใช้ไม้กระดานของเจ้าของบ้านทำเป็นโต๊ะขนาดเล็ก ทั้งสามคนก็เริ่มกินมื้อเย็นกันตรงพื้นที่ว่างของบ้านเตี้ยขึ้นมาทันที
ถังถังลูกสาวของเจ้าของบ้านเอาแต่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆซูสือเยว่
เธอชอบเด็กสาวตัวน้อย ที่เอาแต่ตื้อเธอ ให้เธอคีบอาหารให้
จนแม่ของเด็กสาวมาตามให้ไปนอน เธอถึงยอมจากหลีเยว่ไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
พอถังถังไปแล้ว เหลียงหยูซินก็อดไม่ได้ที่จะตัดพ้อออกมาว่า “นี่ซูสือเยว่ เธอนี่มันขาดลูกสาวไปจริงๆ”
“ถังถังไม่ใช่ลูกสาวของเธอด้วยซ้ำ เธอก็ชอบถังถังถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเธอมีลูกสาวเป็นของตัวเองละก็ เธอจะไม่หลงแย่เหรอ?”
ซูสือเยว่ยักไหล่ “ฉันชอบเด็กผู้หญิงจริงๆ”
หลังจากพูดมาแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่ามีสายตาที่ร้อนผ่าวกำลังจับจ้องมาจากด้านข้าง
หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที!
เธอจำได้ว่าตัวเองจะเคย……สัญญากับซิงหยุนและซิงเฉินว่าจะมีลูกสาวให้ฉินโม่หาน……
ตอนนี้เธอพูดมาเองว่าเธอชอบลูกสาว มันไม่เท่ากับเธอกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มได้รู้หรอกเหรอ?
พอคิดถึงตรงนี้ ร่างกายของซูสือเยว่ก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เธอคิดจนถึงขั้น คืนนี้หลังจากกลับที่ห้องไปแล้ว ผู้ชายบางคนจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับเธอ……
ยิ่งคิด หน้าก็ยิ่งแดง
หน้ายิ่งแดง เธอก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน
โชคยังดีที่มันมืดมาก และยังดีที่เหลียงหยูซินไม่ได้จ้องมองเธออยู่
ไม่อย่างนั้น คงขายหน้าแย่เลย!
“มาทำอาหารกันอยู่นี่เอง?”
ในขณะที่ทั้งสามกำลังกินข้าวกันอย่างเมามันอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้น
เสียงของจี้หนานเฟิงนั่นเอง
มันคือจี้หนานเฟิง
เขาเดินเข้ามา ในจังหวะที่เขาเห็นฉินโม่หานแววตาของเขาก็ดูตกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆเหลียงหยูซินอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก”คุณฉินพูดถูกจริงๆด้วย สือเยว่นี่มีสามีที่เข้มงวดจริงๆ”
“ชุมชนที่กันดารแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าคุณฉินที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหินตั้งแต่เด็ก จะยอมมาที่แบบนี้ด้วย”
พูดจบ เขาก็เหลือบมองฉินโม่หานอย่างเย็นชา “คุณฉินพักที่นี่ได้มั้ยครับ?”
“เตียงที่นี่ไม่ได้นุ่ม สภาพแวดล้อมก็ไม่ดี แล้วทำไมคุณฉินถึงต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วยครับด้วย?”
ฉินโม่หานหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหินของตระกูลจี้ ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ?”
“จะบอกว่าผมถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินก็ไม่ถูก เพราะตาแต่ในบ้านก็ไม่ได้โอ๋ผมมากนัก และไม่สนใจผมเท่าไหร่ด้วย”
“แต่ว่า……”
ชายหนุ่มค่อยๆเลิกคิ้วขึ้น “ผมได้ยินมาว่าในครอบครัวของคุณจี้ คุณจี้จะเป็นลูกเพียงคนเดียวนี่ครับ”
“ผมยังได้ยินอีกว่า คุณจี้ได้ถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าสาวกลับหายไปหลายปีแล้ว”
ฉินโม่หานมองไปที่ใบหน้าที่บูดบึ้งของจี้หนานเฟิงด้วยสายตาที่เย็นชา “การที่คุณจี้จะมัวแต่มาดูแลภรรยาของคนอื่นอยู่ที่นี่ ทำไมคุณไม่ลองพยายามดูสักครั้ง เพื่อไปตามหาคู่หมั้นของคุณดูล่ะ?”
“ไม่แน่ถ้าตามหาจนเจอ เธอกับคุณจี้อาจจะเข้ากันได้ดีก็ได้นะครับ”
“ฉินโม่หาน!”
จี้หนานเฟิงถูกยุจนโกรธมากแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่ฉินโม่หานด้วยสายตาที่โกรธเคือง “อย่าเอาเรื่องในครอบครัวมาล้อเลียนผม!”
“หลังจากการถ่ายทำครั้งนี้จบลง ตอนที่ผมกลับไปงานร่วมงานแต่ง ผมจะยกเลิกการหมั้นหมายกับผู้หญิงของตระกูลเจี่ยนนั่นทันที!”
ฉินโม่หานเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “แต่ที่ผมได้ยินมา… เหตุผลที่หลายปีมานี้ตระกูลจี้ไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายสักทีนั้น เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย”
“ตระกูลเจี่ยนยังเคยพูดไว้ด้วยว่า หากคุณต้องการยกเลิกงานแต่ง ก็จำเป็นต้องให้เด็กสาวคนนั้นมายกเลิกสัญญากับคุณด้วยตนเอง”
พูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา “ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะยกเลิกงานแต่งหรือไม่ก็ตาม คุณก็จำเป็นต้องตามหาผู้หญิงคนนั้นให้พบ”
จี้หนานเฟิงขมวดคิ้วอย่างแรง “ผมนึกว่าที่คุณฉินทำงานหนักเพื่อฉินซื่อกรุ๊ปทุกวันนั้น จะกำลังทุ่มเทเพื่องานซะอีก”
“ไม่นึกเลยว่า คุณฉินจะรู้เรื่องของตระกูลจี้กับตระกูลเจี่ยนได้ถึงขนาดนี้”
“คุณฉินคงไม่ได้ใช้เวลาในที่ทำงาน มายุ่งเรื่องซุบซิบแบบนี้หรอกใช่มั้ยครับ?”
“ก็ไม่นะครับ”
ฉินโม่หานค่อยๆหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจากโต๊ะอย่างแล้วจิบชา “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
“คุณจี้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลฉินของเราเป็นอย่างดี อยากได้แม้กระทั่งภรรยาของคนอื่น การที่ผมจะไปตรวจสอบภูมิหลังของคุณจี้ดู มันก็ไม่มากจนเกินไปใช่มั้ยครับ?”
ผู้ชายทั้งสอง แลกหมัดกันไปมา โต้เถียงกันอย่างดุเดือด
ซูสือเยว่เปิดปากเพื่อพยายามเกลี้ยกล่อม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
ในท้ายที่สุด ก็ได้เหลียงหยูซินที่กลอกตามองบน แล้วยกมือขึ้นมาตบโต๊ะไปทีหนึ่ง
“นี่พวกคุณสองคน ไม่เบื่อกันบ้างรึไงคะ?”
“ไม่ไปต่อยกันที่สนามหลังบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ มันน่ารำคาญ!”
ฉินโม่หานค่อยๆหรี่ตาลง เหลือบมองที่จี้หนานเฟิงแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จี้หนานเฟิงลุกพรวดขึ้นมาทันที “ท่านชายฉิน ไปกันเถอะ”
ชายคนนั้นดึงปกเสื้อของเขาอย่างสง่างาม พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก “เจ้าชายแห่งวงการบันเทิงจี้แน่ใจแล้วเหรอครับว่าจะสู้กับผม?”
“แน่ใจสิ”
จี้หนานเฟิงยิ้มออกมาจางๆ “ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคยได้เรียนรู้วิชาการต่อสู้จากอาจารย์ที่สอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเจี่ยนมาด้วย”
“เดี๋ยวถ้าทำร้ายคุณฉินจนได้รับบาดเจ็บเข้า คุณฉินจะโทษผมไม่ได้นะครับ”
ฉินโม่หานหรี่ตาของเขา
นี่มันคือการยั่วยุกันชัดๆ
อย่างไรก็ตามเขาก็ยินดีที่จะรับคำท้า
ชายหนุ่มดึงเนกไทออก แล้วโยนเข้าไปในอ้อมแขนของซูสือเยว่โดยตรง “ช่วยผมเก็บไว้ทีครับ”
ซูสือเยว่ : “…”
“นี่พวกคุณจะตีกันจริงๆ เหรอเนี่ย?”
ดวงตาของเหลียงหยูซินเป็นประกาย “ตีกันเลยตีกันเลย!”
เธอพูดไป ก็ดึงซูสือเยว่ขึ้นมาแล้วตามหลังชายร่างใหญ่สองคนไป
“ท่านชานฉินของเธอไหวหรือเปล่า?”
“ฉันจะบอกเธอให้นะ เมื่อกี้จี้หนานเฟิงเพิ่งบอกว่าเขาเคยฝึกกับอาจารย์ที่สอนศิลปะการต่อสู้ของ ตระกูลเจี่ยนมาด้วย”
“เธอไม่รู้จักตระกูลเจี่ยนใช่มั้ย? อันที่จริง ฉันกับตระกูลเจี่ยนเราเป็นญาติห่างๆกัน ฉันจะเล่าให้เธอฟังแล้วกัน จริงๆ แล้วตระกูลเจี่ยนนั้น…”
ระหว่างที่เหลียงหยูซินกำลังพูดอยู่นั้น จี้หนานเฟิงกับฉินโม่หานที่อยู่ทางนู้นก็ได้เริ่มสู้กันแล้ว
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วแล้วมองดูชายหนุ่มรูปงามสองคนด้วยความเป็นห่วง
เธอดีรู้ว่าผู้ชายต่างก็กระหายในชัยชนะ การที่ฉินโม่หานถูกจี้หนานเฟิงยั่วยุแบบนี้ เขาก็ไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน
แต่ว่า……
เห็นได้ชัดว่าจี้หนานเฟิงนั้นเคยได้รับการฝึกฝนมา
ยังไงก็ตามซูสือเยว่นั้นเคยได้ฝึกกับเจี่ยนเฉ้งมาบ้าง เทคนิคของจี้หนานเฟิงนั้น……
ทันใดนั้นดวงตาของซูสือเยว่ก็เบิกกว้าง
ทักษะของจี้หนานเฟิงนั้นค่อนข้างคล้ายกับเจี่ยนเฉิงพ่อของเธอ!
จู่ๆเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วหันไปมอง เหลียงหยูซิน “เธอบอกว่า จี้หนานเฟิงไปเรียนต่อสู้จากใครนะ?”
เหลียงหยูซินขมวดคิ้ว “ตระกูลเจี่ยนจากยุโรป…”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก
ยุโรป ตระกูลเจี่ยน เจี่ยนเฉิง…
มันจะเป็น…
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งข้อความถึงเจี่ยนเฉิน
ตอนที่ซูสือเยว่ส่งข้อความนั้น ฉินโม่หานก็ยังเสียเปรียบอยู่
แต่หลังจากที่เธอส่งข้อความเสร็จ แล้วเงยหน้าขึ้นนั้น จี้หนานเฟิงก็ถูกฉินโม่หานกดเอาไว้กับพื้นแล้ว
เขาใช้เทคนิคการล็อกแขนจากทางด้านหลังกดจี้หนานเฟิงไว้ข้างล่าง
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดจมูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจว่า “จี้หนานเฟิง คุณแพ้แล้ว”