ตอนที่ซูสือเยว่กับฉินโม่หานมาถึงเมืองหรงนั้น ชายหนุ่มได้หมดสติไปเพราะการเสียเลือดมากเกินไป
เนื่องจากมีการประสานงานไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกหมอในโรงพยาบาลส่วนกลางได้มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
พอรถมาถึง พวกหมอๆ ก็เอาฉินโม่หานขึ้นรถเข็นเปลแล้วพาเขาเข้าไปด้านใน
ซูสือเยว่เองก็วิ่งตามเข้าไป แต่ก็ถูกคนขวางไว้ที่หน้าประตูของโรงพยาบาล
คนที่มาขวางเธอไว้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเย่เชียนจิ่ว คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ นั่นเอง
เธอพาบอดี้การ์ดสองคนเข้ามาขวางซูสือเยว่เอาไว้ จากนั้นก็มองเธอด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม “เธอมีสิทธิ์อะไรตามพี่สามเข้าไป?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พี่สามจะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้มั้ย?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก เหลือบตาขึ้นมาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเย่เชียนจิ่ว “คนที่ทำร้ายเขา มันเป็นเธอชัดๆ!”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่านักฆ่าคนนั้นคือคุณนั่นแหละที่ส่งไป!”
อาจจะเป็นเพราะไม่ได้คาดคิดว่าซูสือเยว่จะมาเปิดโปงตัวเองแบบนี้ เย่เชียนจิ่วจึงค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาเย็นเยือก “เธอลองพูดอีกรอบซิ?”
ซูสือเยว่โกรธถึงขีดสุด และไม่สนใจอะไรมากมาย เธอยิ้มอย่างไม่ชอบใจ จ้องมองใบหน้าของเย่เชียนจิ่วด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “จะบอกว่าฉันพูดผิดอย่างนั้นเหรอ?”
“เย่เชียนจิ่ว ฉันไม่รู้ว่าคุณไปเอาความกล้ามาจากไหน ที่มาหาเรื่องฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้คุณถึงขั้นใช้นักฆ่าเพื่อมาปลิดชีพฉัน!”
“ถ้าครั้งนี้ฉินคนนั้นหานเกิดเป็นอะไรขึ้น ฉันจะให้คุณต้องชดใช้!”
เสียงของซูสือเยว่นั้นไม่ได้เบา จนดึงดูดสายตาของคนมากมายที่อยู่ในโรงพยาบาล
เย่เชียนจิ่วทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนมาขวางซูสือเยว่ไว้ อยากที่จะสั่งสอนเธอ แต่ทำไม่ตอนนี้ถึงเป็นซูสือเยว่ล่ะที่กำลังข่มขู่เธออยู่!?
พอคิดถึงตรงนี้ เธอจึงหันสายตาที่ไม่พอใจไปมองบอดี้การ์ดสองคนที่จับซูสือเยว่เอาไว้ “จับแม่นี่เอาไว้แน่นๆ!”
พอบอดี้การ์ดทั้งสองจับคนนั้นเยว่เอาไว้แน่นๆ แล้วเย่เชียนจิ่วก็เดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ยกฝ่ามือขึ้นมาตบไปที่ใบหน้าของซูสือเยว่อย่างแรง
ซูสือเยว่หลับตารอรับชะตากรรม
ถึงเธอจะพอสู้เป็นอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบอดี้การ์ดที่ร่างกายสูงใหญ่ทั้งสองนี้ เธอก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
แม้แต่ขัดขืน ยังถือว่าเสียแรงเปล่าเลย
“อ้า!”
ความเจ็บปวดที่ซูสือเยว่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น แต่เสียงกรีดร้องที่แสบหูของเย่เชียนจิ่วกลับดังขึ้นข้างหูเธอ
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี
เพราะเด็กน้อยทั้งสองในบ้านของเธอ ซิงหยุนกับซิงเฉิน กำลังทับอยู่บนตัวของเย่เชียนจิ่ว ทุบตีเย่เชียนจิ่วอย่างไม่หยุดหย่อน
ปกติหนุ่มน้อยทั้งสองต่างก็เป็นสุภาพบุรุษและดูสูงส่งด้วยกันทั้งคู่
แค่มาตอนนี้ พวกเขาทั้งสองต่างทับอยู่บนร่างของเย่เชียนจิ่วอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ทั้งต่อยทั้งเตะ ทำให้ชั่วขณะหนึ่งซูสือเยว่ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะดี
เย่เชียนจิ่วดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้
เพราะไม่ได้มีแค่ซิงหยุนกับซิงเฉินเท่านั้นที่กำลังทุบตีเธออยู่ แต่แขนขาของเธอได้ถูกเจิ้งเจิงกับคนที่พามาจับเอาไว้จนขยับไม่ได้แล้ว
จะให้พูดก็คือ คุณเย่คนนี้ทำได้แค่รับการโจมตี แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้เลย
หนุ่มน้อยทั้งสองกำลังลงมือทำร้ายคนอื่นอย่างไม่สนภาพลักษณ์ ในที่ไกลๆ ซิงกวงกำลังใช้มือถืออัดคลิปอยู่ หันมามองซูสือเยว่ด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ แล้วยักคิ้วให้เธอทีหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วง ไม่เอาถึงตายหรอกค่ะ!”
ซูสือเยว่ “……”
เธอรู้อยู่แล้วว่าไม่ถึงตายหรอก
แต่การหักมุมที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้……
หญิงสาวขมวดคิ้ว แล้วหันไปถลึงตาใส่บอดี้การ์ดทั้งสองที่จับตัวเธอไว้ “ยังไม่รีบปล่อยมืออีก!?”
บอดี้การ์ดทั้งสองหันมาสบตากัน ถึงได้ปล่อยมือออกจากซูสือเยว่ไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
หญิงสาวที่ได้รับอิสรภาพได้ขมวดคิ้วอย่างแรง เธอเดินดุ่มๆ ไปหาซิงกวง “พวกเธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซิงกวงยักไหล่ “เพิ่งมาถึงค่ะ”
“ไอ้บื้อสองคนนั้นเห็นว่าคุณจะถูกทำร้าย พอจนไม่ไหวจึงได้พุ่งเข้าไปค่ะ”
“โชคยังดีที่หนูให้เจิ้งเจิงกดนังผู้หญิงชั่วนั่นไว้ ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็น่าจะได้รับบาดเจ็บด้วย”
พูดจบ ซิงกวงก็หันกลับมา จ้องมองซูสือเยว่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “คุณอาฉินไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
อาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าซิงกวงจะเป็นห่วงฉินโม่หาน จึงทำให้ซูสือเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
ไม่นาน เธอก็เม้มปาก “เขา……ไม่ดีเท่าไหร่”
“นี่สองคนนั้น หยุดได้แล้ว!”
ซิงกวงเก็บมือถือด้วยท่าทางที่มั่นคง จับมือของหลีเยว่ไว้ “เราเข้าไปกันเถอะค่ะ”
ซิงหยุนกับซิงเฉินถึงยอมลดละ หันหลังแล้วเดินตามซิงกวงกับซูสือเยว่ไป
เย่เชียนจิ่วที่นอนอยู่บนพื้นถูกทำร้ายจนลุกไม่ขึ้นไปพักใหญ่
เด็กสองคนนั้น ทั้งๆ ที่ปกติดูเรียบร้อยและอ่อนแอแท้ๆ แต่พอใช้กำลังขึ้นมากลับโหดเอาเรื่องเลย!
บอดี้การ์ดทั้งสองรีบเข้ามาพยุงเธอไว้
เย่เชียนจิ่วหายใจเข้าลึกๆ “พยุงฉันเข้าไปข้างใน”
ไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องเข้าไปดูให้รู้ว่าฉินโม่หานนั้นบาดเจ็บหนักแค่ไหน
ถ้าไม่ดูให้รู้ แล้วจะให้เธอไปพูดกับท่านปู่ยังไงล่ะ?
แต่สิ่งที่หญิงสาวนึกไม่ถึงก็คือ หลังจากที่บอดี้การ์ดทั้งสองพยุงเธอเดินไปได้ไม่ไกล ก็ถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งมาขวางเอาไว้
เจิ้งเจิงยกมือขึ้นมาขวางทางเธอไว้ “คุณเย่ คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านในครับ”
เย่เชียนจิ่วขมวดคิ้ว ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “นี่คุณเป็นใคร? ถึงกล้ามาขวางฉันแบบนี้?”
“พวกเราเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณหนูจี้ซิงกวงครับ”
“เมื่อเธอไม่อนุญาตให้คุณเข้าไป คุณก็ไม่มีทางได้เข้าไปเด็ดขาดครับ”
พูดจบ เจิ้งเจิงก็ขำออกมาเบาๆ พิจารณาบอดี้การ์ดทั้งสองของเย่เชียนจิ่ว “ต่อให้คุณจะใช้กำลังเข้าไป คุณก็เข้าไปไม่ได้หรอกครับ ผมแนะนำว่าคุณล้มเลิกความตั้งใจซะเถอะครับ”
เย่เชียนจิ่วกัดริมฝีปากแน่น เหลือบตาขึ้นมามองเจิ้งเจิง แล้วยอมถอยไปแต่โดยดี
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือจำนวน เธอก็ไม่มีทางเอาชนะพวกที่อยู่ตรงหน้าได้เลย
เธอกัดริมฝีปากด้วยความโมโห หันหลังกลับไปที่รถ หยิบมือถือออกมาโทรหาฉินหลิงยี่
“พี่รองคะ พี่มาช่วยฉันหน่อยได้มั้ยคะ?”
“ตอนนี้ฉินโม่หานบาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล ฉันอยากเข้าไป แต่พวกซูสือเยว่ขวางไว้ไม่ยอมให้ฉันเข้า……”
ฉินหลิงยี่ที่อยู่ทางนั้นกำลังตีกอล์ฟอยู่
พอได้รับสายเธอ มือที่กำบังดื่มน้ำอยู่ก็กระตุกไปเล็กน้อย
ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงกดเสียงลงมาได้ “ฉินโม่หานบาดเจ็บได้ยังไง?”
เย่เชียนจิ่วเม้มปาก “เป็นเพราะฉันเองค่ะ”
“ตอนแรกฉันตั้งใจส่งคนไปจัดการกับซูสือเยว่ แต่ไม่นึกเลยว่า……”
ฉินหลิงยี่ที่อยู่อีกฟากของมือถือได้หายใจเข้าอย่างไม่ชอบใจ
“นี่คุณเสียสติไปแล้วรึไง!?”
ถึงขั้นส่งนักซ่าไปฆ่าซูสือเยว่ที่ชนบทเลยเหรอ?
“คุณรู้รึเปล่าว่าการทำแบบนี้ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
“ต่อให้คุณจะอยากฆ่าซูสือเยว่จริงๆ คุณก็ควรมาปรึกษากับผมก่อน คิดหาแผนการที่มันสมบูรณ์ที่สุด!”
“การใช้วิธีที่โง่เขลาแบบนี้ คุณคิดว่าฉินโม่หานจะสาวถึงตัวคุณไม่ได้รึไง?”
“คุณยังกล้าไม่เฝ้าอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลอีก! เรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บตระกูลฉินของเรายังไม่รู้เรื่องเลย แต่คุณกลับไปรออยู่ตรงนั้น มันไม่เท่ากับเป็นการที่อยากจะปกปิด แต่กลับยิ่งเปิดเผยให้รู้เหรอ?”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้เย่เชียนจิ่วเงียบไปพักใหญ่
ผ่านไปเนิ่นนาน เธอถึงเข้าใจสิ่งที่ฉินหลิงยี่ต้องการสื่อ
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอื้น “พี่รองคะ……แล้วฉันควรทำยังไงต่อไปดี?”
“ฉันไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย คุณพอจะช่วย……”
ฉินหลิงยี่หลับตาอย่างหมดสิ้นหนทาง “ผมจะไปยื่นขอเส้นทางบินเดี่ยวนี้ คุณนั่งเครื่องบินส่วนตัวของผมไปแล้วกัน”