“ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ”
ฉินหลิงยี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตอนนั้นฉินโม่หานออกไปทำงานข้างนอก ฉันนี่แหละที่เป็นคนหาเฉินเชี่ยนเจอก่อน แล้วตามเขากลับมา”
พูดจบ ชายหนุ่มก็หันไปมองซูสือเยว่ ตอนนี้โม่หานเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“เขายังอยู่ในห้องฉุกเฉิน……”
พอพูดถึงฉินโม่หาน ซูสือเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เย่เชียนจิ่วไปทีหนึ่ง
“สือเยว่ คุณไปดูอาเล็กก่อนเถอะครับ”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้ว “เดี๋ยวผมจัดการทางนี้เอง”
ซูสือเยว่พยักหน้า หันหลังเตรียมที่จะจากไป
พอเดินออกไปได้ไม่ไกล แล้วเธอก็เหมือนนึกอะไรได้ จึงหันกลับมามองฉินหลิงยี่ “พี่รองคะ พี่จะไปเยี่ยมโม่หานด้วยกันเลยมั้ยคะ?”
“ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา อาจจะอยากเห็นหน้าคนในครอบครัวก็ได้ค่ะ”
ฉินหลิงยี่หรี่ตาลง
ดูผิวเผิน การที่เธอให้เขาไปเยี่ยมฉินโม่หานพร้อมกับเธอนั้น อาจจะดูเหมือนฉินโม่หานที่ได้รับบาดเจ็บจะอยากให้คนในครอบครัวอยู่ด้วย
แต่ในความเป็นจริงนั้น เธอกลัวว่าเขาจะกดดันฉินหนานเซิงลับหลังเธอในช่วงที่เธอไม่อยู่ จนต้องยอมปล่อยเย่เชียนจิ่วไป
แต่เขาก็ยังยิ้มออกมา “น้องสะใภ้นี่ช่างรอบคอบจริงๆ”
พูดจบ เขาก็ยกขา เดินเข้าไปนั่งในรถของไป๋ลั่ว
ซูสือเยว่รู้สึกแปลกใจ
แล้วกันไปมองฉินหนานเซ้งแวบหนึ่ง
ชายหนุ่มพยักหน้าให้เธอ บ่งบอกให้เธอวางใจ
ซูสือเยว่ถึงได้หันกลับมา แล้วขึ้นรถตามหลังฉินหลิงพวกนั้นไป
ระหว่างทางจากสนามบินถึงโรงพยาบาล ฉินหลิงยี่นั้นสงบมาก
เขาถึงกับพูดคุยถึงชีวิตการทำงานของซูสือเยว่ในช่วงนี้
“จะไม่ไปเล่นซีรี่ย์เรื่อง 《ความทรงจำที่ขาดหาย》นั่นแล้วจริงๆ เหรอ?”
“มันน่าเสียดายนะ”
“ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า จี้หนานเฟิงที่เป็นถึงดาราเก่าแก่แล้วจู่ๆ ทำไมถึงปฏิเสธซีรี่ย์ไปล่ะ? หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าเขาอกหักอย่างนั้นเหรอ?”
ซูสือเยว่ตอบคำถามของเธอไปทีละข้อ
พอฉินหลิงยี่ไม่พูดอะไรแล้ว เธอถึงได้หายใจเข้าลึกๆ นั่งพิงอยู่ที่ข้างคนขับ มองไปยังฉินหลิงยี่ที่นั่งอยู่หลังรถ “พี่รองคะ”
“ถ้าพี่รู้จักเฉินเชี่ยนละก็……แล้วพี่รู้จักฉันมั้ยคะ?”
เธอเคยเป็นเพื่อนสนิทกับเฉินเชี่ยน
ถ้าก่อนหน้านี้ฉินหลิงยี่รู้จักเฉินเชี่ยน แล้วยังเคยช่วยฉินโม่หานตามหาเฉินเชี่ยนด้วย แบบนี้เขาก็ต้องรู้จักเธอด้วยสิ?
คำถามของหญิงสาว ทำให้ฉินหลิงยี่สะดุ้งไปทันที
หลังจากนั้น เขาก็แย้มมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “ถึงฉันจะรู้จักเฉินเชี่ยน แล้วทำไมฉันถึงต้องรู้จักเธอด้วย?”
ซูสือเยว่ชะงักไป “ฉันกับเฉินเชี่ยน……”
“เธอกับเฉินเชี่ยนไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกฉินหลิงยี่ขัดเอาไว้ก่อน “เธอก็คือเธอ เฉินเชี่ยนก็คือเฉินเชี่ยน”
ซูสือเยว่ถูกเขาโกรธใส่อย่างน่าประหลาดใจ
หญิงสาวขมวดคิ้ว พอต้องการจะพูดอะไร รถก็ขับมาจอดที่หน้าประตูของโรงพยาบาลแล้ว
ทันทีที่ซูสือเยว่ลงจากรถ เธอก็พบเข้ากับไป๋ยู่หนานที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
พอเห็นซูสือเยว่ ไป๋ยู่หนานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “โม่หานตื่นแล้วครับ”
หญิงสาวชะงักไป จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
ฉินหลิงยี่ตามอยู่ด้านหลังเธอ มองดูหญิงสาวที่พุ่งไปยังห้องที่ฉินโม่หานอยู่อย่างรวดเร็ว คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมา
เขายอมรับ ณ เวลานี้ เขาเองก็รู้สึกอิจฉาฉินโม่หานอยู่เหมือนกัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งคอยทุ่มเทและทำเพื่อเขาแบบนี้
ตอนที่เขาไม่ได้สติ ก็ไปจับผู้ร้ายแทนเขา ช่วยเขาจัดการกับคนที่หักหลัง
พอรู้ว่าเขาฟื้นแล้ว ก็รีบพุ่งไปหาเขาราวกับนกน้อยตัวหนึ่ง
แต่พอหันกลับมาดูผู้หญิงที่เขาชอบ……
ฉินหลิงยี่ก็ถอนหายใจออกมา
มันช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
จนถึงตอนนี้ เขายังต้องคอยตามเช็ดก้นให้เธออยู่
“โม่หานเขารู้แล้วครับ”
ไป๋ยู่หนานเหลือบตาขึ้นมองไปยังที่ไกลๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “พี่สองฉิน คุณคิดออกรึยังครับว่าจะจบเรื่องยังไง?”
ฉินหลิงยี่ชะงักไป
พักใหญ่ เขาค่อยหันกลับมา “โม่หานรู้อะไรเข้าแล้ว?”
“ซูสือเยว่ ก็คือเฉินเชี่ยนที่พวกคุณพูดถึง”
ไป๋ยู่หนานมองต่ำลง สายตาเรียบเฉยจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ “ครึ่งชั่วโมงก่อน ผมได้ให้คนเอาเส้นผมและเล็บของซูสือเยว่กับเด็กสองคนนั้นไปเทียบกันแล้ว อย่างเร็วที่สุดสามชั่วโมงผลก็น่าจะออกแล้วครับ”
พูดจบ เขาก็หันกลับมามองฉินหลิงยี่อย่างเย็นชา “ตอนนั้นตอนที่ซูสือเยว่ถูกไฟมไหม้ พี่รองก็เข้าร่วมด้วยใช่มั้ยครับ?”
ฉินหลิงยี่หรี่ตาลง
เนิ่นนาน เขาก็ขำออกมาเบาๆ “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร”
เมื่อคำพูดนี้จบลง เขาก็ค่อยๆ หมุนตัวไป “จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ เรื่องที่โม่หานได้รับบาดเจ็บ ยังไม่มีใครแจ้งให้ท่านปู่ทราบเลย”
“เดี๋ยวผมกลับไปแจ้งให้ท่านทราบดีกว่า”
พูดจบ ฉินหลิงยี่ก็เอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง แล้วเดินดุ่มๆ ออกจากโรงพยาบาลไป
ไม่มีใครเห็น ในจังหวะที่เขาหมุนตัวไปนั้น ดวงตาที่สงบของเขาคู่นั้นก็ได้ร้อนรนไปชั่วขณะหนึ่ง
……
“ที่รักคะ”
ซูสือเยว่วิ่งมาตลอดทางจนมาถึงห้องของฉินโม่หาน
หญิงสาวพุ่งเข้าไปจับมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไว้ “ยังเจ็บอยู่รึเปล่าคะ?”
“ไม่เจ็บแล้วครับ”
“สือเยว่ครับ”
“คะ”
“ผมดีใจมากเลยครับที่ได้แต่งานกับคุณ”
ชายหนุ่มที่สีหน้าซีดเซียวทำให้ดวงตาสีดำของเขาดูลึกซึ้งเข้าไปอีก
เขาจ้องมองเธออย่างเงียบๆ ราวกับต้องการตอกเธอเข้าไปในใจยังไงอย่างนั้น
ซูสือเยว่ถูกสายตาแบบนี้ของเขาจ้องจนรู้สึกอึดอัด
เธอยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง “บนหน้าฉันไม่ได้มีอะไรติดอยู่ใช่มั้ยคะ?”
“ไม่มีครับ ผมแค่รู้สึกว่าคุณสวยเท่านั้น”
น้อยมากที่ฉินโม่หานจะพูดแสดงความรู้สึกออกกับซูสือเยว่แบบนี้
เธอชะงักไปทั้งตัว จากนั้นใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวจนแดงฉาน
เธอเบะปาก พูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “จู่ๆ ทำไมถึงพูดอะไรคะเนี่ย?”
ชายหนุ่มมองเธออย่างลึกซึ้งไปแวบหนึ่ง
เหลือเวลาสองชั่วโมงครึ่งก่อนที่ผลตรวจDNAจะออกมา
เขาเริ่มรู้สึกว่าจะทนไม่ไหวแล้ว
แต่……
หลายๆ เรื่องก็ยังยากที่จะอธิบาย
เขาตัดสินใจรอผลอย่างเป็นทางการออกมาอย่างชัดเจนก่อน ค่อยพูดเรื่องพวกนั้นกับเธอน่าจะเหมาะกว่า
หมอเองก็พูดแล้ว การที่เลือดที่ถ่ายเข้าไปในตัวเขาแล้วไม่ได้มีการต่อต้านอะไรเลย ก็สามารถยืนยันได้ว่าเลือดของซิงกวงก็มียีนพิเศษด้วยเหมือนกัน
และยีนพิเศษแบบนี้ ในคนสิบล้านคนจึงจะมีแค่คนเดียว
เขาคาดหวังมาก ว่าเขากับซิงกวงจะไม่ใช่ความบังเอิญของสิบล้านเปอร์เซ็นต์นั่น
พอคิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ได้ถอนหายใจออกมา ชี้ไปยังที่นอนของตัวเอง “มานอนเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ?”
“ได้ค่ะ”
พูดจบ ซูสือเยว่หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ขึ้นเตียงไปอย่างระมัดระวัง แล้วกอดเอวที่แข็งแรงเขาไว้แน่นๆ
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเขาแล้ว
ถ้าวันนี้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าวันนี้เขาไม่ต้องเดินผ่านความเป็นความตาย
เธอก็ไม่มีทางรู้เลยว่า ตัวเองนั้นเป็นห่วงเขามากแค่ไหน เขานั้นสำคัญกับเธอมากเพียงใด
แต่ก็ยังดี
เธอเอาหัวซุกเข้าไปในอกของเขา ถึงรู้ตอนนี้ ก็ยังไม่สายเกินไป
อาจเป็นเพราะที่ผ่านมารู้สึกตื่นเต้นอย่างหนัก พอซูสือเยว่ได้นอนอยู่บนเตียงของฉินโม่หาน เธอก็หลับไปจริงๆ
“นี่แมวขี้เซา ยังอยากนอนต่ออีกมั้ยครับ?”
พอได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นบนหัว เธอก็หัวเราะออกมาสองครั้ง แล้วส่ายหน้า “ไม่นอนแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดีครับ”
“ต่อจากนี้ ผมมีข่าวที่จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ให้คุณได้ฟัง”