“คุณ……คุณหนูใหญ่”
ผู้ดูแลบ้านถูกซูสือเยว่บีบคอ จนสีหน้าเขาแดงก่ำ “คุณ……”
“ได้โปรดไว้ชีวิต……”
“ตอนนี้รู้จักคำว่า ไว้ชีวิต แล้วหรอ?”
ซูสือเยว่ถอนหายใจอย่างเย็นชา และยังคงออกแรงบีบคอต่อไป
“ซูสือเยว่!”
เมื่อเห็นผู้ดูแลบ้านแทบจะกลอกตาแล้ว หานหยุนที่อยู่ด้านหลังก็รีบเรียกขานชื่อเธอ
เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางยกขาที่ยาวเหยียดนั้นเตะไปที่ขาของผู้ดูแลบ้านอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะปล่อยเขาไป
ผู้ดูแลบ้านรู้สึกเจ็บและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สุดท้ายเขาก็พิงกำแพงและล้มพับไป
ซูสือเยว่หันหลังกลับไปยังข้างเตียงนอน เธอนั่งมองผู้ดูแลบ้านด้วยท่านั่งไขว่ห้างอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงนั้น
“ตอนนี้รู้หรือยังล่ะว่า ใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และใครเป็นคนรับใช้?
ผู้ดูแลบ้านใช้มือกุมคอที่เจ็บเพราะโดนบีบ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก “รู้……รู้แล้วครับ”
“ดีมาก”
เธอจ้องหน้าผู้ดูแลบ้านอย่างเย็นชา “ฉันจะมอบหมายงานให้นายสักหน่อย”
“คุณพูดมาได้เลยครับ”
“ฉันมีลูกสามคน”
ซูสือเยว่ยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมตัวเองอย่างเบามือ “ลูกชายสอง ลูกสาวหนึ่ง”
“ตอนนี้พวกเขาน่าจะอายุราวๆ……”
เธอกวาดตามองเวลาก่อนจะพูดต่อ “ราวๆห้าขวบ”
พูดจบ เธอก็มองไปที่หานหยุน “ผู้ชายในรูปเมื่อกี้ ชื่ออะไร?”
หานหยุนตะลึงงันและตอบกลับโดยไม่รอช้า “ชื่อฉินโม่หานครับ”
“อืม”
เธอมองหน้าผู้ดูแลบ้านด้วยท่าทีที่ทรงพลัง“พ่อของเด็กๆชื่อ ฉินโม่หาน”
“ลูกชายทั้งสองอยู่กับเขา ส่วนลูกสาวอีกคนยังต้องตามหาต่อไป
“ฉันให้เวลานายหนึ่งสัปดาห์ พาลูกๆของฉันกลับมาให้ได้”
ผู้ดูแลบ้านกุมคอและเงยหน้าด้วยความลำบาก “คุณหนูใหญ่ คุณ……คุณกลับมาครั้งนี้ ก็เพราะต้องมาเกี่ยวดองกับตระกูลจี้ เพื่อให้ตระกูลเจี่ยนของเราได้รับเงินลงทุน…..”
“คุณมาตามหาลูกของตัวเองอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่แบบนี้……ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ว่าไหมครับ?”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว “ฉันรับปากนายเมื่อไหร่ว่าจะแต่งงาน?”
ผู้ดูแลบ้านเลิกคิ้ว “ ถ้าคุณไม่แต่งงาน ตระกูลเจี่ยนของเรา…..”
เธอยิ้มเยาะ
“ในสายตาของนาย นอกจากเรื่องที่ผู้หญิงต้องแต่งออก ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ครอบครัวตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้แล้วหรอ?”
“อย่าลืมสิ ฉันเป็นลูกสาวของหลิวหรูเยียนนะ”
หลังจากที่พ่อของเธอเสียชีวิต แม่ของเธอเป็นคนที่ทำให้ตระกูลเจี่ยนยืนหยัดอยู่ในโลกธุรกิจยุโรปได้อย่างตระหง่านมั่นคง เธอก็ต้องทำได้สิ!
ครุ่นคิดมาถึงตอนนี้ ซูสือเยว่ก็ขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “แม่ฉันทำได้ ฉันก็ทำได้”
สีหน้าของผู้ดูแลบ้านยังคงมีความลังเลใจ“แต่ว่า……”
“แต่อะไร!”
ซูสือเยว่จ้องเขาตาเขม่น “นายเมินเฉยกับสิ่งที่ฉันพูดไปหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่กล้า…..”
“แล้วยังไม่รีบไปอีก?”
เธอจ้องเขาตาเขม่นอีกครั้ง “หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ฉันจะต้องได้เห็นหน้าลูกทั้งสามคนของฉัน”
พูดจบ เธอก็ครุ่นคิดอีกครั้ง
“พาฉินโม่หานมาหาฉันด้วย”
ทันทีที่เธอได้ยินซูสือเยว่เอ่ยชื่อถึงฉินโม่หาน หานหยุนก็กระแอมในทันที “พาฉินโม่หานมาทำอะไรหรอครับ?”
ถ้าฉินโม่หานรู้ว่าซูสือเยว่เป็นแบบนี้ เพราะยาที่หานหยุนฉีดให้เธอนั้นมีปัญหา……ก็เกรงว่าฉินโม่หานจะโดนฉีกเขาเป็นชิ้นๆแบบคาที่
ซูสือเยว่มองเขาอย่างเย็นยะเยือก “แน่นอนว่าจับมาเพื่อทุบตีเขาสักตั้ง ”
พูดจบ จู่ๆเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่าง เธอหันไปชำเลืองมองหานหยุน “ฉินโม่หานนี่ แต่งงานหรือยัง?”
หากจำไม่ผิด ซูสือเยว่ในเวลานั้นอยากแต่งงานกับฉินโม่หาน ทว่าเธอไม่สามารถมีลูกได้ จึงได้คิดวิธีแบบนั้นออกมา
หานหยุนลังเลชั่วครู่ “นับว่า……แต่งงานแล้ว”
คู่รักของฉินโม่หานก็คือผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ไง
“สงสารภรรยาเขาจริงๆ”
ซูสือเยว่หาวหนึ่งที จากนั้นก็ถลึงตาใส่ผู้ดูแลบ้านอย่างเย็นชา “ยังอยู่ที่นี่ทำไม? รีบออกไปตามหาสิ!”
ผู้ดูแลบ้านหยุดชั่วครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาแบบแทบล้มทั้งยืน และออกไปจากห้องด้วยความเร็วแสง
“ผู้ดูแลบ้านเสิ่นชจะช่วยคุณหนูใหญ่ตามหาเด็กๆของเธอและหนุ่มนามสกุลฉินนั้น……จริงหรอ?”
เมื่อออกมาจากห้องของซูสือเยว่ กลุ่มคนรับใช้ที่เดินตามหลังผู้ดูแลบ้าน ก็นบน้อมก้มหัวพร้อมกับยื่นกระดาษทิชชู่ให้เขา
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นรับกระดาษทิชชู่มา พลางเหล่ตามองคนรับใช้คนนั้นอย่างเลือดเย็น “จะตามหาพวกเขาเพื่ออะไร เพื่อให้เธอรื้อฟื้นความทรงจำหรอ?”
พูดจบ เขาก็ใช้ทิชชู่ซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก “รู้ดีว่าหานหยุนยังคงเป็นกังวล ฉันก็เลยแอบหาคนมาเปลี่ยนยาของเขาเป็นการพิเศษ”
“เพื่อความเนียน ฉันเลยสั่งให้ใส่แค่นิดเดียว”
เขามองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก “ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเพียงพอแล้วล่ะ”
“แต่ว่าผู้ดูแลบ้านเสิ่น……”
คนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังมีความลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ทำไมผมกลับคิดว่า คุณหนูใหญ่ในตอนนี้เทียบไม่ได้กับคุณหนูใหญ่ในตอนที่ยังไม่สูญเสียความทรงจำ…..”
ก่อนที่ซูสือเยว่จะความจำเสื่อม แม้ว่าเธอจะทำตัวไร้เหตุผล แต่ก็ไม่ได้ชอบใช้ความรุนแรงถึงขั้นนี้……”
ทว่าหลังจากที่เธอสูญเสียความทรงจำไปแล้ว นิสัยก็แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน……
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นยิ้มเยาะ “จะมีประโยชน์อะไร?”
“ให้เธอทำตัวน่ารำคาญไปก่อน รอให้ถึงวันแต่งงาน จากนั้นก็ลอบตีเธอให้สลบและค่อยนำไปส่งที่ตระกูลจี้
“งานแต่งครั้งนี้ เธอก็จะเป็นคนของตระกูลจี้แล้ว
หลังจากที่หลิวหรูเยียนกลายเป็นคนที่อยู่ในสภาพผักเรื้อรัง LYกรุ๊ปก็พร้อมจะจ้องเขมือบ ญาติฝ่ายภรรยาของตระกูลเจี่ยนก็มีความคิดที่จะรับช่วงต่อและยึดตระกูลเจี่ยนมารวมกับของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนมีผู้จ้องแต่จะเอาประโยชน์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แม้ว่าตระกูลเจี่ยนจะให้คุณหนูรองแต่งงานกับของคุณชายบ้านเล็กของตระกูลจี้ได้ไม่นาน แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอ
คนในตระกูลจี้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างแท้จริง ก็คือลูกชายคนโตของตระกูลจี้
คุณชายจี้หนานเฟิงลูกชายคนโต ไม่เพียงแต่มีการหมั้นหมายกับซูสือเยว่มาตั้งแต่วัยเด็ก ทว่ายังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของสายสัมพันธ์อยู่
หากซูสือเยว่แต่งออกได้เร็วเท่าไร ตระกูลเจี่ยนก็พอมีทางรอด!
ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ผู้ดูแลบ้านเสิ่นก็เลิกคิ้วในทันที “ว่าแต่ตระกูลจี้ตอบกลับมาหรือยัง?”
คนรับใช้นิ่งไปชั่วครู่ “ตอบกลับแล้ว……”
“พวกเขาบอกว่าคุณชายจี้หนานเฟิงกลับเมืองหรงในคืนนั้นเลย ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับผู้หญิงที่เขาชอบ……”
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นขมวดคิ้วมุ่น
“ตระกูลจี้ไม่ได้บอกหรอว่า อีกนานแค่ไหนที่เขาจะกลับมา?”
“ว่ากันว่าหนึ่งถึงสองสัปดาห์……”
หนึ่งถึงสองสัปดาห์
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นจำได้คร่าวๆว่า ซูสือเยว่ให้เวลาเขาหนึ่งสัปดาห์ในการพาลูกทั้งสามคนของเธอนั้นกลับมา
เขาไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก จากนั้นก็เปรยตามองคนใช้ “แกล้งทำเป็นตามหาก่อน อย่าให้เธอจับพิรุธได้”
เพราะหากเขานิ่งนอนใจ เกรงว่าจี้หนานเฟิงยังไม่ทันกลับมา เขาจะโดนเธอบีบคอตายเสียก่อน
……
“คุณคิดว่าผู้ดูแลบ้านเสิ่นจะช่วยคุณตามหาเด็กๆและพากลับมาไหม?”
หานหยุนยืนอยู่ในห้องนอนของซูสือเยว่และใช้สายตามองตามผู้ดูแลบ้านที่อยู่ในระยะไกล พลางขมวดคิ้วและถามผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังเขา
ซูสือเยว่พิงเก้าอี้ เธอลับมีดคัตเตอร์ที่แหลมคมด้วยท่านั่งที่ดูสง่า “แน่นอนว่าเขาไม่สามารถช่วยฉันได้อย่างใจจริง แต่อย่างน้อยก็ได้ใช้ลูกไม้ตบตาคน”
หานหยุนตะลึงงัน พลางหันขวับ “แล้วคุณมีแผนจะทำอะไร? ไม่ตามหาเด็กๆแล้วหรอ?
“แน่นอนว่าไม่”
ซูสือเยว่มองต่ำ สายตาจับจ้องไปที่ใบมีดที่เงาระยับ “ฉันคิดว่าจะรอสะสางเรื่องของตระกูลเจี่ยนให้เสร็จก่อน จากนั้นจะกลับเมืองหรงเพื่อตามหาพวกเขาด้วยตัวเอง”
เมื่อเห็นท่าทีที่เธอลับมีด หานหยุนก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“น่าจะอีกนานเลยใช่ไหมครับ?”
ซูสือเยว่เงยหน้ามองเขา “หรือว่านายมีวิธีที่ดีกว่านี้?”
หานหยุนเงียบไปชั่วขณะ
ผ่านไปสักพัก เขาก็แหงนหน้าขึ้นมา “ให้ฉินโม่หานพาเด็กๆมาไม่ดีกว่าหรอครับ?”
ซูสือเยว่ยิ้ม “พวกเขาจะยอมมาง่ายๆหรอ?”
หานหยุนพยักหน้า “ผมติดต่อคนของตระกูลฉินได้”